การขึ้นทะเบียน 13 สมุนไพรเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 1 โดยถอดออกจากวัตถุอันตรายชนิดที่ 2 ด้วยเหตุผลที่ว่า
การปรับเปลี่ยนในครั้งนี้เพื่อเอื้อให้เกษตรกรเข้าถึงและใช้ประโยชน์มากขึ้น กลับกลายเป็นเรื่องร้อนในสังคมเกษตรขึ้นอีกครั้ง
13 พืชสมุนไพรที่เป็นประเด็นอยู่ในขณะนี้ ได้แก่ สะเดา, ตระไคร้หอม, ขมิ้นชัน, ขิง, ข่า, ดาวเรือง, สาบเสือ, กากเมล็ดชา, พริก, ขึ้นฉ่าย, ชุมเห็ดเทศ, ดองดึง และหนอนตายหยาก ซึ่งเป็นสมุนไพรที่อยู่คู่ภูมิปัญญาเกษตรกรมานานหลายทศวรรษ นับตั้งแต่ประเทศไทยเริ่มตื่นตัวเรื่องเกษตรเคมี จึงหันมาปรับใช้วิธีอินทรีย์ พึ่งพาความรู้ด้านสมุนไพร และนำสมุนไพรดังกล่าวมาใช้เป็นส่วนผสมหลักในการป้องกันกำจัดศัตรูพืช ซึ่งให้ผลดีและช่วยลดต้นทุนการผลิตได้ในระดับหนึ่ง
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
พืชสมุนไพรทั้ง 13 ชนิดที่เกษตรกรนิยมนำมาใช้ทางการเกษตร และใช้เกี่ยวกับการรักษาโรคเบื้องต้นตามภูมิปัญญาไทยที่ถ่ายทอดกันมาตั้งแต่โบราณกาล
ได้ถูกกำหนดว่าเป็นวัตถุอันตรายทั้งๆ
ที่พืชสมุนไพรนั้นเป็นสิ่งที่ได้มาจากสิ่งมีชีวิตอย่าง “พืช” ไม่ใช่ “วัตถุ” ตามที่พจนานุกรมไทย พ.ศ.2560 ให้ความหมายว่า
“วัตถุ” เป็น "สิ่งของ"
หรือถ้าจะอิงกันตามพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย
พ.ศ. 2535 จะพบว่า พ.ร.บ.นี้ได้ระบุไว้ว่า “วัตถุอันตราย” คือ วัตถุระเบิดได้
วัตถุไวไฟ วัตถุออกซิไดซ์และวัตถุเปอร์ออกไซด์ วัตถุมีพิษ วัตถุที่ทำให้เกิดโรค
วัตถุกัมมันตรังสี วัตถุที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม วัตถุกัดกร่อน
วัตถุที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง
และวัตถุอย่างอื่นไม่ว่าจะเป็นเคมีภัณฑ์หรือสิ่งอื่นใด
ที่อาจทำให้เกิดอันตรายแก่บุคคล สัตว์ พืช ทรัพย์ หรือสิ่งแวดล้อม
ที่มีการผลิตขึ้นมา หมายความว่า ทำ เพาะ ปรุง ผสม แปรสภาพ ปรุงแต่ง แบ่งบรรจุ หรือรวมบรรจุ
โดยปัจจุบันมีการจำแนกการควบคุมไล่ระดับจากความอันตรายน้อยไปจนถึงอันตรายมาก
ได้แก่
วัตถุอันตรายชนิดที่ 1 ได้แก่ วัตถุอันตรายที่การผลิต การนำเข้า การส่งออก
หรือการมีไว้ในครอบครอง ต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนด
วัตถุอันตรายชนิดที่ 2 ได้แก่ วัตถุอันตรายที่การผลิต การนำเข้า การส่งออก
หรือการมีไว้ในครอบครอง ต้องแจ้งให้พนักงานเจ้าหน้าที่ทราบก่อนและต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดด้วย
วัตถุอันตรายชนิดที่ 3 ได้แก่ วัตถุอันตรายที่การผลิต การนำเข้า การส่งออก
หรือการมีไว้ในครอบครอง ต้องรับใบอนุญาต
วัตถุอันตรายชนิดที่ 4 ได้แก่ วัตถุอันตรายที่ห้ามมิให้มีการผลิต การนำเข้า การส่งออก
หรือการมีไว้ในครอบครอง
ซึ่งนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ประชาชนให้ความสนใจและแตกตื่นกับการเล่นกับพืชสมุนไพรทั้ง
13 ชนิดนี้ของรัฐบาล
หากย้อนไปในปี พ.ศ.2552 ได้มีข่าวช็อควงการเกษตรทั่วประเทศเมื่อกระทรวงอุตสาหกรรมออกมาประกาศในวันที่
29 มกราคม 2552 ว่าพืชสมุนไพรเป็นวัตถุอันตราย พร้อมลงในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่
3 กุมภาพันธ์ 2552 โดยให้พืชสมุนไพร 13 ชนิด ได้แก่ สะเดา, ตระไคร้หอม, ขมิ้นชัน, ขิง, ข่า, ดาวเรือง, สาบเสือ, กากเมล็ดชา,
พริก, ขึ้นฉ่าย, ชุมเห็ดเทศ, ดองดึง และหนอนตายหยาก เป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 2 ตาม พ.ร.บ.วัตถุอันตราย พ.ศ.2535
จนเกิดข้อกังขาว่านี่น่าจะเป็นยุทธวิธีที่เกิดขึ้นมา เพื่อสกัดไม่ให้ธุรกิจสมุนไพรของชาวบ้านเติบโตและเอื้อต่อผู้ผลิตสารเคมีต่างชาติหรือไม่
หรือบัญญัติกฎหมายนี้มาเพื่อเอื้อใคร
กระทรวงอุตสาหกรรมในฐานะเจ้าของกฎหมายออกมาชี้แจงว่า
การขึ้นบัญชีพืชสมุนไพร 13 ชนิดเป็นวัตถุอันตรายเป็นข้อเสนอของกรมวิชาการเกษตร
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมออกประกาศให้ในฐานะฝ่ายเลขานุการเท่านั้น
ภายใต้ความรับผิดชอบ
พ.ร.บ.วัตถุอันตรายจาก 9 กระทรวง ที่สามารถขอใช้กฎหมาย คือ กลาโหม มหาดไทย
สาธารณสุข วิทยาศาสตร์ คมนาคม พาณิชย์ พลังงาน และอุตสาหกรรม
โดยอ้างว่าก่อนประกาศให้พืช 13 ชนิดนี้เป็นวัตถุอันตราย ได้รับการกลั่นกรองมาอย่างดีแล้วจากผู้ทรงคุณวุฒิของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
และกำหนดให้บังคับใช้ในส่วนที่ทำไปกำจัด ทำลายแมลง วัชพืช และศัตรูพืชในเชิงพาณิชย์
ที่ต้องแจ้งให้กรมวิชาการเกษตรรับทราบ
ไม่เกี่ยวกับการนำมาทำเป็นอาหารหรือยา
หรือนำผลิตเป็นยาฆ่าแมลงและปราบศัตรูพืชที่ใช้เองในสวนหรือไร่นา
ผู้ที่มีไว้ในครอบครองแต่ไม่ได้ทำเป็นสารกำจัดศัตรูพืชเพื่อจำหน่าย
ไม่เข้าข่ายในความผิดภายใต้ พ.ร.บ.วัตถุอันตราย
ทั้งนี้เพื่อให้เกิดการผลิตใช้พืชสมุนไพรเป็นระบบ
ให้สามารถตรวจสอบย้อนกลับไปได้ว่า ใครเป็นผู้ผลิต จากที่ไหน มีพืชอะไร
และมีสารออกฤทธิ์อย่างไรบ้าง
และล่าสุดมีการรื้อเรื่องพืชสมุนไพร
13 ชนิด ขึ้นมาใหม่ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อปรับพืชสมุนไพรทั้ง 13 ชนิดจากวัตถุอันตรายชนิดที่
2 ซึ่งมีข้อกำหนดเงื่อนไขมากกว่าวัตถุอันตรายชนิดที่ 1
ตามประกาศบัญชีรายชื่อวัตถุอันตราย พ.ศ.2546 ลำดับที่ 103 และ 104 ถึงการผลิต
นำเข้า ส่งออก หรือมีไว้ครอบครอง ของวัตถุอันตรายชนิดที่ 2 ระบุว่า
หากจะมีการผลิต
การนำเข้า การส่งออก หรือการมีไว้ในครอบครอง ต้องแจ้งให้พนักงานเจ้าหน้าที่ทราบก่อน
และขึ้นทะเบียนตามขั้นตอน (หลายขั้นตอน) เสียค่าธรรมเนียม 5,000 บาท โดยผู้ที่จะผลิตหรือนำเข้าวัตถุอันตรายชนิดที่
2 หรือชนิดที่ 3
จะต้องได้รับใบสำคัญการขึ้นทะเบียนก่อน จึงจะสามารถแจ้งดำเนินการเพื่อผลิตหรือนำเข้าวัตถุอันตรายชนิดที่
2 ได้ จึงจะสามารถรับใบอนุญาตผลิตหรือนำเข้าวัตถุอันตรายในกรณีของวัตถุอันตรายได้
ดังนั้นเพื่อให้ง่ายต่อการเข้าถึงประโยชน์ของสมุนไพรทั้ง
13 ชนิด จึงนำมาสู่การเปลี่ยนให้พืชสมุนไพรทั้ง
13 ชนิดเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 1 เพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรสามารถนำสารธรรมชาติหรือพืชที่อยู่ตามธรรมชาติ
มาใช้ให้เกิดประโยชน์ในการควบคุมศัตรูพืช เนื่องจากกลุ่มวัตถุอันตรายชนิดที่ 1
จะมีความเป็นอันตราย หรือความเป็นพิษน้อยกว่าวัตถุอันตรายชนิดที่ 2 และมีขั้นตอนสะดวกต่อการนำไปใช้มากกว่า
เพียงแค่แจ้งแต่ไม่ต้องขึ้นทะเบียน ซึ่งกับถือว่าเป็นเรื่องดี
แต่เสียงคนในวงการเกษตรก็มีการกล่าวถึงว่า “จะดีกว่ามั้ยที่จะปล่อยให้พืชสมุนไพรไทยทั้ง
13 ชนิด เป็นเพียงพืชสมุนไพรแต่ไม่ใช่วัตถุอันตราย”
แหล่งอ้างอิง
