การกำหนดเวลาเข้า-ออกงานออฟฟิศแบบเดิมจะเริ่มหายไป
เมื่อเทรนด์การทำงานแบบยืดหยุ่น หรือ Flexible Hour กำลังมาแรง โดยเฉพาะรูปแบบการทำงานหลังโควิด-19
จากสถานการณ์ที่ต้องปรับตัวให้เข้ากับสภาพการณ์ปัจจุบันรวมถึงพฤติกรรมของคนที่เปลี่ยนไป
การทำงานแบบ Flexible Hour จึงกลายเป็นกระแสที่ได้รับความนิยมมากในประเทศสหรัฐอเมริกาก่อนจะแพร่ไปทั่วโลก
การทำงานแบบยืดหยุ่นนี้มีให้เห็นกันอย่างแพร่หลายในรูปแบบการจ้างงาน Part Time, Freelance หรือ Contract แต่ความจริงแล้วยังมีระบบการบริหารจัดการอีกหลายรูปแบบ ในแนวทางของ Flexible Hour ที่สามารถนำมาปรับใช้ภายในองค์กร เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีในการบริหารทรัพยากรบุคคล ไปจนถึงสามารถใช้ดึงดูดคนเก่งๆ เข้ามาช่วยงาน และตอบโจทย์พฤติกรรมของผู้คนในยุค New normal ได้ด้วย
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
Flexible Hour
เป็นปัจจัยที่คนรุ่นใหม่มองหาในการหางาน
IWG (International Workplace Group) ผู้ดำเนินการบริหารแบรนด์ผู้ให้บริการพื้นที่สำนักงานชั้นนำระดับโลก
ได้เผยถึงข้อมูลเชิงลึกในการดึงดูดและรักษาบุคลากรคุณภาพจากผู้เชี่ยวชาญกว่า 15,000 คน ในหลากหลายอุตสาหกรรมกว่า 80 ประเทศทั่วโลก ที่มีการให้พนักงานจัดลำดับความสำคัญของผลประโยชน์ที่ได้จากการทำงาน
พบว่า
งานที่มีความยืดหยุ่น (Flexible Working) ด้านเวลา สถานที่ รูปแบบการทำงาน การแต่งตัว
ฯลฯ
กลายเป็นปัจจัยหลักที่คนทำงานนำมาพิจารณาตัดสินใจเลือกตำแหน่งงานหรือเปลี่ยนงาน มีจำนวน
80% ของคนที่เข้าร่วมทดสอบปฏิเสธงานที่ไม่มีความยืดหยุ่นในการทำงาน 70% บอกว่าการมีตัวเลือกเรื่องสถานที่ทำงานเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำมาสู่เหตุผลหลักในการพิจารณาหางานใหม่
และมีจำนวน 54% มองว่าการเปิดกว้างเรื่องสถานที่ทำงานสำคัญกว่าการได้วันหยุดเพิ่ม
นอกจากนี้การทำงานแบบมุ่งเน้นที่ผลสำเร็จหรือเป้าหายของงานที่มีความยืดหยุ่นในด้านต่างๆ
เช่น เรื่องเครื่องแต่งงาน การแต่งกาย สถานที่ฯ
เป็นตัวช่วยกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ให้คนทำงาน ช่วยให้เกิดการใช้ชีวิตแบบสมดุลทั้งในด้านของเรื่องส่วนตัวและหน้าที่รับผิดชอบ
คนทำงานจึงเกิดความสุข ทุ่มเทให้กับงานและองค์กรเต็มที่ มีความภักดีต่อองค์กรและทำงานยาวนานขึ้น
ซึ่งเป็นผลดีต่อองค์กรที่จะได้เห็นคนทำงานปลดปล่อยศักยภาพของตัวเองเต็มที่
ในการทำงานโดยที่ยังเกิดผลดีต่อองค์กรด้านการช่วยลดค่าใช้จ่ายและได้คนเก่งมาช่วยงานได้ตรงจุดด้วย
เพราะนอกจากเรื่องของผลตอบแทนรายได้แล้ว
ยังมีเรื่องของความยืดหยุ่นเข้ามาเป็นตัวแปรหลักๆ ในการเลือกงานของคนเก่งๆ
ด้วยเช่นกัน
การทำงานแบบ Flexible Hour
รูปแบบการทำงานแบบ Flexible Hour นั้นมีหลากหลาย แล้วแต่การนำไปปรับใช้ให้เข้ากับหน่วยงานหรือองค์กรของตัวเอง
และไม่มีกฎตายตัวตามความหมายของ “ความยืดหยุ่น”
ที่ตั้งอยู่บนความคุ้มค่าของทั้งสองฝ่าย ทั้งฝั่งนายจ้างและลูกจ้าง
เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการทำงานที่มีผลประโยชน์ร่วมกันและมีความสุข มีรูปแบบหลักๆ
ดังนี้
1. Working from home : เป็นกระแสนิยมไปแล้วในไทยตลอดช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา
และบางองค์กรมีการปรับใช้อย่างต่อเนื่อง
เพราะเป็นการทำงานจากบ้านของพนักงานแบบเต็มเวลา แต่สามารถควบคุมการทำงานได้ผ่านระบบการตรวจสอบที่แต่ละองค์กรเลือกใช้
ทำให้ได้คุณภาพงานเหมือนเดิม ในขณะที่มีต้นทุนค่าใช้จ่ายลดลง เหมาะสำหรับกลุ่ม Start
Up ที่ไม่ได้เช่าออฟฟิศและธุรกิจองค์กรทั่วไป
2. Term-time working : การทำงานแบบนี้จะมีการกำหนดวันเวลาในการทำงานและวันหยุดได้ด้วยตัวเอง
เป็นรูปแบบการทำงานที่มีการจัดทำเป็นแผนหรือแจ้งให้ทราบล่วงหน้า
โดยในช่วงวันที่หยุดพนักงานจะไม่ได้รับค่าจ้าง
แต่ยังจัดว่าเป็นพนักงานประจำที่มีหน้าที่รับผิดชอบให้ต้องเข้ามาทำงาน
ส่วนใหญ่ใช้กับพนักงานที่มีโปรแกรมเรียนต่อ
3. Flexi time : เป็นรูปแบบการบริหารจัดการคนทำงานอีกรูปแบบหนึ่งที่ได้รับความนิยมในหลายหน่วยงาน
โดยการทำงานรูปแบบนี้จะเป็นแบบพนักงานประจำปกติที่ต้องเข้าออฟฟิศมาทำงานทุกวัน
หากแต่ไม่กำหนดเวลาเข้า-ออกงานตายตัว มีความยืดหยุุ่นเรื่องเวลาเข้า-ออกงาน
แต่จะไปกำหนดในส่วนของชั่วโมงการทำงานในแต่ละวัน ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์เงื่อนไขของบริษัทแทน
4. Compressed hours : การทำงานที่มีความยืดหยุ่นในเวลาการทำงาน
โดยคิดแบบเหมารวมเวลาทำงานเป็นรายสัปดาห์ ทำให้พนักงานสามารถวางแผนการทำงานได้
หรือช่วยตอบโจทย์ในช่วงที่ต้องเร่งรีบทำงานแบบล่วงเวลา โดยไม่ต้องจ่ายค่าล่วงเวลาได้ด้วย
การทำงานที่มีความยืดหยุ่นแบบนี้จึงช่วยให้องค์กรสามารถตอบรับพนักงานที่ความสามารถแต่บ้านอยู่ไกลได้
5. Commissioned outcomes : เป็นความยืดหยุ่นที่เหมือนกับการทำงานแบบ Remote
นั่นคือ พนักงานจะทำงานจากมุมไหนของโลกหรือเวลาไหนก็ได้
แบบไม่มีการจำกัดทั้งเวลาและสถานที่
ซึ่งมุ่งผลไปที่ผลลัพธ์ของผลงานหรือผลสำเร็จจากการว่าจ้างและการทำงานเพียงเท่านั้น โดยอาจมีการทำสัญญารองรับเรื่องผลลัพธ์หรือผลงานให้มีการวัดผลตามข้อตกลง
6. Annual hours : เป็นรูปแบบการทำงานที่ได้รับการตอบรับดีในต่างประเทศ
เพราะมีความยืดหยุ่นเรื่องชั่วโมงการทำงานแบบรายปี จึงทำให้พนักงานสามารถมีวันลาพักร้อนยาวได้ตามแผนการทำงานของตัวเอง
เหมาะสำหรับองค์กรที่มีการทำงานตลอดทั้งปี หรืองานบริการที่ต้องเปิดให้บริการทุกวัน
แหล่งอ้างอิง
https://www.m2fnews.com/lifestyle/work-and-life/24418
https://thestandard.co/flexible-working/