ตลาดแฟรนไชส์ในเวียดนามยังคงเป็นที่น่าศึกษา
ติดตามเพื่อขยายฐานการลงทุน โดยเฉพาะธุรกิจสินค้าบริการอาหารและเครื่องดื่มแบบแฟรนไชส์ที่ไปได้ดีและโตแรงในขณะนี้
แบรนด์แฟรนไชส์จากต่างประเทศ เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย เกาหลีใต้
สิงคโปร์ ไทย ญี่ปุ่น ฮ่องกง แคนาดา และฟิลิปปินส์
ได้รับความเชื่อมั่นจากผู้บริโภคชาวเวียดนามว่ามีความน่าเชื่อถือ
มีคุณภาพและภาพลักษณ์ดี
ทำให้ผู้บริโภคชาวเวียดนามหันมานิยมใช้ผลิตภัณฑ์และบริการจากแบรนด์ต่างประเทศดังกล่าวอย่างรวดเร็ว
และช่วยดันตลาดแฟรนไชส์ให้เติบโต
รูปแบบการนำแฟรนไชส์จากต่างประเทศมาเปิดดำเนินการในเวียดนามมีรูปแบบ ที่หลากหลายทั้งแบบสัญญา แฟรนไชส์โดยตรง (Direct franchising) ที่มีการพัฒนาให้สิทธิ์ในการเปิดกิจการได้มากกว่าหนึ่งแห่ง ตัวอย่างเช่น รูปแบบแฟรนไชส์ที่มีการให้สิทธิ์ในการเปิดดำเนินธุรกิจได้หลายสาขา (multi-unit) หรือการให้สิทธิ์แบบ Development agreements รวมทั้งแบบสัญญาแฟรนไชส์หลัก (Master franchise agreements) ซึ่งตามปกติแล้วการขายสิทธิ์แฟรนไชส์ เจ้าของสิทธิ์ (Franchisor) มักจะต้องการหา Franchisee ที่สามารถขยายธุรกิจในพื้นที่ให้เติบโตได้ ดังนั้นการขายสิทธิแฟรนไชส์แบบมีสิทธิ์ในการดำเนินธุรกิจได้เพียง 1 แห่ง (singleunitfranchising) จึงไม่เป็นที่นิยมในเวียดนาม
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ดังนั้นการเข้าไปเล่นตลาดแฟรนไชส์ในเวียดนาม
จะต้องดำเนินกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภค และกฎระเบียบข้อบังคับของกฎหมายการลงทุนแฟรนไชส์ในเวียดนาม
เพื่อให้สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง ตามคำแนะนำดังต่อไปนี้
1. ควรทำการสำรวจตลาดก่อนที่จะมีการตั้งราคาของผลิตภัณฑ์และค่าธรรมเนียมแฟรนไชส์
2. เลือกผลิตภัณฑ์/บริการที่มีศักยภาพหรือเป็นที่นิยม
แม้ว่าธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มจะยังคงเป็นธุรกิจที่ได้รับความนิยมในอีก 3-5 ปีข้างหน้า
3. เน้นกลุ่มเป้าหมายที่มีรายได้ปานกลาง
ซึ่งเป็นกลุ่มประชากรที่มีการเติบโตสูง
4. เข้าร่วมงานแสดงสินค้าหรือเยี่ยมชมงานแสดงสินค้าที่เกี่ยวข้องในเวียดนามอย่างต่อเนื่อง
เพื่อแนะนำผลิตภัณฑ์ สร้างความรับรู้และจดจำสินค้าแก่ผู้บริโภค อย่างน้อย 3
ปีติดต่อกัน จะทำให้คู่ค้าเกิดความคุ้นเคยต่อแบรนด์สินค้า
5. เลือกทำเลที่เหมาะสมและราคาไม่แพง
ในเมืองที่มีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว เช่น นครโฮจิมินห์ และกรุงฮานอย
ที่ยังมีทำเลให้เลือกมาก
6. ปรับกลยุทธ์ให้เข้าถึงตลาดที่มีวัฒนธรรมแตกต่าง
ด้วยการศึกษาวัฒนธรรม นิสัยและรสนิยมของคนในท้องถิ่นนั้นๆ
เพื่อเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จของธุรกิจ
ภายใต้ข้อกำหนดการลงทุนธุรกิจแฟรนไชส์ของเวียดนาม
ที่ใช้ Decree No. 35/2006/ND-CP
(ซึ่งถูกแก้ไขด้วย Decree 120/2011/ND-CP
ในเดือนมกราคมปี 2016 and Decree No. 8/2018/ND-CP
ในเดือนมกราคม 2018) เป็นกรอบแนวทางสำหรับการดำเนินธุรกิจแฟรนไชส์ ภายใต้กฎระเบียบดังกล่าว
อนุญาตให้นักลงทุนต่างชาติสามารถทำธุรกิจแฟรนไชส์ได้ทั้งแบบเจ้าของสิทธิ์แฟรนไชส์
(Franchisor) และแบบผู้รับสิทธิดำเนินธุรกิจ (Franchisee)
ในเวียดนาม
โดยมีข้อกำหนดว่าเจ้าของสิทธิแฟรนไชส์ต่างชาติจำเป็นต้องดำเนินการหรือทำธุรกิจอย่างน้อยหนึ่งปี
ก่อนที่จะเปิดธุรกิจแฟรนไชส์ในเวียดนาม
การขึ้นทะเบียนประกอบธุรกิจแฟรนไชส์กับกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าเวียดนาม
ผู้ประกอบการสามารถเปิดแบรนด์แฟรนไชส์โดยไม่ต้องจดทะเบียนบริษัทในประเทศเวียดนาม
(บริษัทจดทะเบียนธุรกิจในต่างประเทศ)
แต่จะต้องขึ้นทะเบียนประกอบธุรกิจแฟรนไชส์กับกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าเวียดนาม
มิฉะนั้นต้องเสียค่าปรับในอัตรา 220–440 ดอลลาร์สหรัฐ ถึงแม้จะเป็นจำนวนที่ไม่มาก
แต่บริษัทมีความเสี่ยงที่อาจจะต้องถูกเรียกคืนกำไรที่ได้รับจากการดำเนินกิจการทั้งหมดในบางกรณี
ทั้งนี้หากเจ้าของสิทธิ์แฟรนไชส์เป็นชาวเวียดนาม ได้รับยกเว้นไม่ต้องขึ้นทะเบียนกับกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าเวียดนาม
1. เอกสารประกอบการขึ้นทะเบียนประกอบธุรกิจแฟรนไชส์ ประกอบไปด้วย
สำเนาเอกสารแนะนำธุรกิจแฟรนไชส์ (The Franchise Introduction Statement) และข้อตกลงของแฟรนไชส์
รวมไปถึงใบสมัครและเอกสารอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น เอกสารการขึ้นทะเบียนทรัพย์สินทางปัญญา
โดยที่เอกสารเหล่านี้ต้องแปลเป็นภาษาเวียดนาม
2. ข้อตกลงแฟรนไชส์ในเวียดนาม กฎหมายของประเทศเวียดนามไม่ได้บังคับให้มีข้อกำหนดเพิ่มเติมใดๆ
ในข้อตกลงธุรกิจแฟรนไชส์ ผู้เป็นเจ้าของสิทธิ์แฟรนไชส์และผู้รับสิทธิ์ดำเนินธุรกิจแฟรนไชส์
มีอิสระที่จะเจรจาข้อกำหนดและเงื่อนไขของข้อตกลงแฟรนไชส์
โดยที่ข้อตกลงแฟรนไชส์จะต้องเขียนเป็นภาษาเวียดนาม และมีผลบังคับใช้แม้จะเลือกพิจารณาตัดสินข้อพิพาทด้วยอำนาจศาลต่างประเทศ
3. ภาษีธุรกิจแฟรนไชส์ในเวียดนาม
ถึงแม้ว่าเจ้าของสิทธิ์แฟรนไชส์ต่างชาติจะไม่ได้จดทะเบียนธุรกิจในเวียดนาม
แต่มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมจากผู้รับสิทธิดำเนินธุรกิจแฟรนไชส์ในเวียดนาม
และถือเป็นการทำสัญญาระหว่างบริษัทเวียดนามกับบริษัทต่างชาติ จึงจะต้องถูกหักภาษี
ณ ที่จ่าย สำหรับค่าธรรมเนียมใดๆ ที่เรียกเก็บจากผู้รับสิทธิดำเนินกิจการ
ซึ่งประกอบด้วย
- ค่าธรรมเนียมแรกเข้า
(Franchise fees)
- ค่าธรรมเนียมต่ออายุ
(Royalties)
- ค่าธรรมเนียมการบริหาร
(Administrative fees)
- ค่าโฆษณา
(Advertising fees)
- ค่าธรรมเนียมการจัดการ
(Management fees)
โดยเจ้าของสิทธิ์แฟรนไชส์ชาวต่างชาติในเวียดนามต้องเสียภาษี
ณ ที่จ่ายสำหรับการให้บริการในเวียดนามดังต่อไปนี้
- ภาษีมูลค่าเพิ่ม
(VAT) : 5%
- ภาษีเงินได้นิติบุคคล
(CIT) : 5%
ขณะเดียวกัน
เจ้าของสิทธิ์แฟรนไชส์ในประเทศจะต้องเสียภาษีในอัตราภาษี ดังนี้
- ภาษีมูลค่าเพิ่ม
(VAT) : 10%
- ภาษีเงินได้นิติบุคคล
(CIT) : 20%
4. การจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าในเวียดนาม
การเข้ามาลงทุนธุรกิจในเวียดนาม
เจ้าของสิทธิแฟรนไชส์ควรจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า รวมถึงการจด URL และเว็บไซต์กับสำนักงานทรัพย์สินทางปัญญาแห่งชาติเวียดนาม
(the National Office of Intellectual Property of
Vietnam) เพื่อป้องกันการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา
5. การเป็นผู้รับสิทธิดำเนินธุรกิจแฟรนไชส์ต่างประเทศในเวียดนาม
นักลงทุนต่างชาติสามารถเป็นผู้รับสิทธิ์ดำเนินธุรกิจแฟรนไชส์ได้
เมื่อมีการจัดตั้งนิติบุคคลในเวียดนาม อย่างไรก็ตาม สามารถเปิดธุรกิจเฉพาะที่ได้รับอนุญาตให้ดำเนินกิจการโดยชาวต่างชาติตามที่เวียดนามได้ผูกพันไว้กับองค์การการค้าโลก
(World Trade Organization : WTO) ตัวอย่างเช่น
หากต้องการเปิดกิจการโรงแรมและให้บริการด้านการท่องเที่ยวก็จำเป็นต้องจัดตั้งแบบ Joint
venture กับบริษัทด้านการท่องเที่ยวท้องถิ่นของเวียดนามที่มีใบอนุญาตประกอบการท่องเที่ยวระหว่างประเทศ
(International Tourism License) เท่านั้น ในขณะที่การเปิดร้านอาหารหรือร้านค้าปลีกในเวียดนามนักลงทุนต่างชาติสามารถเป็นเจ้าของคนเดียวได้
6. การจัดตั้งธุรกิจค้าปลีกในเวียดนาม
โดยส่วนใหญ่ไม่มีการกำหนดเงินทุนขั้นต่ำสำหรับการดำเนินการธุรกิจในเวียดนาม
จากรายงานของ International
Grocery Research Organization (IGD) คาดการณ์ว่า ภายในปี 2564
ธุรกิจร้านสะดวกซื้อของเวียดนามจะเติบโตร้อยละ 37.4 ทำให้เวียดนามเป็นตลาดร้านสะดวกซื้อที่เติบโตเร็วที่สุดในเอเชีย
เนื่องจากธุรกิจค้าปลีกในประเทศเวียดนามเปิดกว้างสำหรับการลงทุนจากต่างประเทศ
นักลงทุนต่างชาติจึงสามารถสร้างธุรกิจค้าปลีกได้โดยไม่ต้องมีหุ้นส่วนจากคนในท้องถิ่น
ทั้งนี้
ธุรกิจแฟรนไชส์แบรนด์ใหม่ยังมีโอกาสในตลาดเวียดนาม ภายใต้ความท้าทายที่ต้องคำนึงถึงหลายด้านในการเข้าไปดำเนินการ
ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากผู้ประกอบการในเวียดนามมักจะกังวลเกี่ยวกับแนววิธีการประกอบธุรกิจแบบใหม่ที่ต้องใช้เงินลงทุนสูง
และมีความลังเลที่จะลงทุนในแบรนด์ใหม่ที่ไม่มีชื่อเสียง และมีความแตกต่างทางวัฒนธรรม
ทำให้จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การเจาะตลาดธุรกิจ ให้เข้ากับวัฒนธรรม อุปนิสัย และรสนิยมของท้องถิ่น
เพื่อเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จของธุรกิจให้ง่ายขึ้น
สำหรับคำแนะนำในการเข้าไปดำเนินธุรกิจในเวียดนามของผู้ประกอบการไทยนั้นมี
3 รูปแบบดังนี้
1.
ลงทุนร่วมกับผู้ซื้อแฟรนไชส์ชาวเวียดนามโดยเป็นการลงทุนลักษณะ Offshore
ซึ่งเป็นวิธีที่ประหยัดต้นทุนในการจัดตั้งธุรกิจในเวียดนาม ที่จะทำให้สามารถควบคุมการดำเนินงานของแฟรนไชส์ในท้องถิ่นได้ง่ายขึ้น
เพราะไม่แล้วจะเกิดอุปสรรคในการสื่อสารและมีต้นทุนการขนส่งระหว่างต่างประเทศสูง
2.
การจัดตั้งกิจการในแบบบริษัทต่างชาติ (Foreign-own company) ซึ่งสามารถถือหุ้นได้ร้อยละ
100 โดยการเปิดเป็นสานักงานสาขาหรือบริษัทร่วมทุน (Joint venture
enterprise) นั้นมีประสิทธิภาพการควบคุมคุณภาพโดยตรงผ่านเครือข่ายแฟรนไชส์ท้องถิ่น
3.
การควบรวมและการซื้อกิจการ (Mergers and Acquisitions (M&A) ประหยัดต้นทุนในการจัดตั้งกิจการและสร้างแบรนด์ใหม่ในเวียดนาม
สามารถซื้อหรือควบรวมกิจการกับแบรนด์ที่มีชื่อเสียงในประเทศ และมีส่วนแบ่งการตลาดสูง
มีขั้นตอนเกี่ยวกับกฎระเบียบในพิจารณาอนุมัติการควบรวมและการซื้อกิจการที่ซับซ้อน
ใช้เวลานาน ทำให้เกิดความล่าช้าและต้นทุนในขั้นตอนการโอนกรรมสิทธิ์
4.
เลือกพันธมิตรหรือคู่ค้าที่เหมาะสม โดยบริษัทท้องถิ่นหลายแห่งอาจไม่มีความเข้าใจอย่างแท้จริงในแบรนด์สินค้า
รวมทั้งกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับแฟรนไชส์ จึงเป็นสิ่งสำคัญในการหาพันธมิตรหรือคู่ค้าที่มีศักยภาพ
นอกจากนี้การทำความเข้าใจระหว่างกัน
เกี่ยวกับแบรนด์สินค้าและความคาดหวังของแบรนด์ในตลาดท้องถิ่นให้ชัดเจน
มีความสำคัญในการทำให้แบรนด์ให้ประสบความสำเร็จในตลาด
นอกจากนี้นักลงทุนชาวเวียดนามยังคงมีความลังเลที่จะลงทุนในแบรนด์ใหม่ๆ
ที่ต้องการเงินลงทุนสูงและยังไม่มีข้อมูลผลประกอบการในภูมิภาคมาก่อน ดังนั้นจึงควรใช้บริการบริษัทที่ปรึกษากฎหมายในการจัดทำสัญญาแฟรนไชส์และจดทะเบียนธุรกิจแฟรนไชส์
เพื่อให้มีความรัดกุมและเป็นไปตามกฎหมายของเวียดนามกำหนด.
แหล่งอ้างอิง : สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครโฮจิมินห์ ศูนย์สนับสนุนธุรกิจใน AEC.ธุรกิจแฟรนไชส์ในเวียดนาม.2562