ความผันผวนของเศรษฐกิจโลกในช่วงปีที่ผ่านมา
ทั้งประเด็นสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ
กับจีนที่ส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานจีน และภาวะการเงินโลกที่ตึงตัวขึ้น
ดังที่เห็นได้จากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่อง เพื่อดึงดูดเม็ดเงินและการลงทุนกลับเข้าประเทศ
ตลอดจนสถานการณ์ Brexit ที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง
และอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของสหราชอาณาจักรและกลุ่มประเทศที่ใช้เงินสกุลยูโร (Eurozone)
รวมถึงปัจจัยภายในของไทยเองที่ภาคธุรกิจชะลอการลงทุน เพื่อรอความชัดเจนและนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลภายหลังการเลือกตั้ง
ทำให้หลายหน่วยงานจากทั้งภาครัฐและเอกชนปรับลดคาดการณ์อัตราการขยายตัวของจีดีพีของไทยลงมาอยู่ที่
3%
ท่ามกลางความไม่แน่นอนของสถานการณ์เศรษฐกิจโลกดังกล่าว
การรื้อฟื้นการเจรจาความตกลงเปิดเขตการค้าเสรีไทย-สหภาพยุโรป (อียู)
ที่หยุดชะงักไปกว่า 6 ปี ดูจะมีความหวังมากขึ้น เมื่ออียูได้ส่งสัญญาณขานรับการจัดตั้งรัฐบาลของไทยเมื่อวันที่
19 กรกฏาคม ที่ผ่านมา จากข้อมติคณะมนตรีแห่งสหภาพยุโรปเมื่อปี 2557 ที่ระบุไว้ว่า
อียูจะเริ่มเจรจาความตกลง FTA กับไทยอีกครั้ง เมื่อมีการจัดตั้งรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งแล้ว
ซึ่งต่อมาเมื่อปลายปี 2560 คณะมนตรีแห่งสหภาพยุโรปได้ปรับข้อมติให้เริ่มสำรวจความเป็นไปได้ของการรื้อฟื้นการเจรจาความตกลง
FTA กับไทย ภายหลังความคืบหน้าการเตรียมการเลือกตั้ง
โดยเฉพาะการประกาศใช้รัฐธรรมนูญปี 2560
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
โอกาสของไทยจากความตกลงไทย-อียู FTA
การเจรจาความตกลง FTA ฉบับนี้จะเป็นเครื่องมือสำคัญ ในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับสินค้าไทยในตลาดอียู
ที่มีอัตราการขยายตัวอย่างต่อเนื่องและมีกำลังซื้อสูงสุดแห่งหนึ่งของโลก
โดยเฉพาะในปัจจุบันที่อียูมีการจัดทำความตกลงการค้าเสรีครอบคลุมประเทศต่างๆ
ที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับไทย อาทิ ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และเวียดนาม
ซึ่งจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของพลวัตทางการค้าระหว่างประเทศในอนาคต
ประโยชน์อันดับแรกของความตกลง FTA ฉบับนี้ คือการลดภาษีนำเข้าสำหรับสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมของไทย
ที่ปัจจุบันไม่มีแต้มต่อทางการค้าเมื่อเทียบกับคู่แข่งบางประเทศ เช่น เวียดนาม
หลังไทยถูกตัดสิทธิ GSP ไปเมื่อปี 2558 นอกจากนี้ความตกลง FTA
จะช่วยลดมาตรการที่เป็นอุปสรรคทางการค้าอื่นๆ
ทั้งในกลุ่มอาหารแปรรูป ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และยานยนต์
โดยหากการเจรจาสำเร็จจะช่วยให้ไทยสามารถรักษาส่วนแบ่งตลาดในอียู
โดยเฉพาะจากประเทศที่มีโครงสร้างสินค้าคล้ายคลึงกับไทยและมี FTA กับอียู เช่น เวียดนาม
นอกจากนี้ ความตกลง FTA ฉบับนี้
ยังมีประโยชน์ในแง่การส่งเสริมการถ่ายทอดเทคโนโลยีและ know-how ต่างๆ จากการเข้ามาลงทุนของบริษัทอียูในไทย
ซึ่งจะส่งผลดีต่อผู้ประกอบการภายในประเทศในสาขาที่มีมูลค่าเพิ่มสูงและอียูมีความเชี่ยวชาญ
อาทิ ยานยนต์สมัยใหม่ การบินและโลจิสติกส์ นวัตกรรมด้านเกษตรและอาหาร ดิจิทัล
อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ และหุ่นยนต์เพื่ออุตสาหกรรม เป็นต้น
โดยเฉพาะในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก
(EEC) รวมทั้งจะเป็นแม่เหล็กที่ช่วยเหนี่ยวรั้งนักลงทุนรายเดิมที่มีความเสี่ยงจะย้ายการลงทุนไปที่อื่น
และดึงดูดเม็ดเงินจากนักลงทุนรายใหม่ให้ใช้ไทยเป็นฐานการผลิตและส่งออก
เพื่อจับตลาดที่มีกำลังซื้อสูงอย่างอียูได้อีกด้วย
ทิศทางการรื้อฟื้นการเจรจาความตกลง FTA กับไทย
ปัจจุบันอียูเป็นคู่ค้าสำคัญลำดับ 3
ของไทย โดยในปี 2561 การค้าสองฝ่ายมีมูลค่า 4.7 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ
คิดเป็นร้อยละ 9.4 ของการค้าไทยกับโลก ซึ่งในจำนวนนี้ไทยส่งออกไปอียู 2.5
หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ และนำเข้าจากอียู 2.2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ โดยเพิ่มขึ้น 5%
และ 8% จากปี 2560 ตามลำดับ ด้านการลงทุน
อียูเป็นนักลงทุนอันดับ 3 ของไทยรองจากญี่ปุ่นและอาเซียน โดยมีมูลค่าการลงทุนในไทย
ณ สิ้นปี 2561 รวม 3.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ
(ข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์และธนาคารแห่งประเทศไทย)
อย่างไรก็ดี การเจรจาความตกลง FTA ไทย-อียูอาจไม่ใช่เรื่องง่ายและอาจต้องใช้เวลา
โดยประเด็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับการเจรจาความตกลงไทย-อียู FTA มีดังนี้
การทำความตกลง FTA กับอียู
จะเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ในการทำความตกลงการค้าเสรีของไทย
โดยเฉพาะประเด็นการเปิดเสรีภาคบริการ และการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ
ทั้งนี้
มีข้อสังเกตว่าข้อบทใหม่ที่อียูใช้ในการเจรจาความตกลง FTA กับประเทศต่างๆ ในระยะหลัง คือ
ข้อบทเรื่องการค้าและการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Trade and Sustainable
Development) ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับมาตรฐานสิ่งแวดล้อมและมาตรฐานแรงงาน
อย่างไรก็ตาม คาดว่าอียูจะใช้ความตกลง
FTA กับสิงคโปร์และเวียดนามที่เพิ่งลงนามไปเมื่อเดือนตุลาคม
2561 และมิถุนายน 2562 ตามลำดับ เป็นต้นแบบในการเจรจากับไทย
จากการสังเกตการเจรจาความตกลง FTA ระหว่างอียูกับเวียดนามและสิงคโปร์
พบว่าเนื้อหาการเจรจามีรายละเอียดและครอบคลุมกว้างขวางมากขึ้น
ซึ่งจะทำให้การเจรจาใช้เวลาและทรัพยากรมากขึ้น
รวมทั้งอาจเพิ่มแรงกดดันให้ไทยต้องยอมรับข้อเรียกร้องต่างๆ ของอียู
ทั้งในเรื่องการเปิดตลาดยา รถยนต์ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
และการยกระดับมาตรฐานสินค้าไทยให้สอดคล้องกับมาตรฐานอียูที่มีความเข้มงวดมากที่สุดมาตรฐานหนึ่งของโลก
นอกจากนี้
การเจรจายังรวมถึงเรื่องการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาซึ่งเป็นผลประโยชน์สำคัญของอียู
รวมทั้งกฎระเบียบด้านการแข่งขันทางการค้า การเข้าสู่ตลาดการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ
การระงับข้อพิพาทในการลงทุนระหว่างภาคเอกชนกับรัฐ การค้าและการพัฒนาอย่างยั่งยืน
และการปฏิบัติตามพันธกรณีขององค์การระหว่างประเทศต่างๆ กรณีล่าสุด เมื่อวันที่ 5
กรกฏาคม ที่ผ่านมา มีตัวอย่างของ FTA ระหว่างอียู-สาธารณรัฐเกาหลี
ในกรณีสิทธิในด้านแรงงานที่อียูตัดสินใจจัดตั้งกลไกระงับข้อพิพาทต่อเรื่องการดำเนินตามพันธกรณี
สำหรับประเด็นการเปิดเสรีภาคบริการ ซึ่งถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานของระบบเศรษฐกิจของไทยและเป็นต้นทุนของการทำธุรกิจอื่น อาจส่งผลในแง่การเพิ่มประสิทธิภาพให้กับธุรกิจที่เกี่ยวข้อง แต่สิ่งที่ทางอียูต้องการผลักดันในเรื่องของการเปิดเสรีภาคบริการและการลงทุน คือการเข้าถึงตลาดที่อียูมีศักยภาพสูง โดยเฉพาะสาขาโทรคมนาคม การเงิน และการขนส่ง ซึ่งอาจนำไปสู่การผูกขาดทางการค้าในตลาดที่เป็นยุทธศาสตร์สำคัญเหล่านี้ในอนาคต จึงจำเป็นต้องมีการกำกับดูแลที่ดีจากภาครัฐ
ความตกลง FTA ระหว่างอียูกับกลุ่มประเทศอื่นๆ
ในช่วงที่ผ่านมา อาทิ กลุ่มประเทศ Mercosur ซึ่งเป็นประเทศผู้ผลิตและส่งออกสินค้าเกษตรรายใหญ่
โดยเฉพาะในสินค้าที่ไทยเป็นเจ้าตลาดในอียู อาทิ เนื้อไก่และน้ำตาล
เป็นที่น่าจับตามอง เนื่องจากจะเป็นช่องทางให้สินค้าคู่แข่งจากประเทศเหล่านั้นมีความได้เปรียบสินค้าจากประเทศไทยมากขึ้น
และจะส่งผลโดยตรงต่อความสามารถในการแข่งขันของไทยในตลาดยุโรป
ตลอดจนสิทธิประโยชน์ที่ไทยจะได้รับจากการทำ FTA กับอียูในอนาคต
กระนั้น ประเด็นการเมืองภายในอียูอาจส่งผลต่อทิศทางการรื้อฟื้นการเจรจาความตกลง
FTA กับไทย ซึ่งล่าสุดนาง Ursula von der Leyen รัฐมนตรีกลาโหมของเยอรมนีซึ่งเป็นนักการเมืองสาย Pro-EU ได้รับการสนับสนุนด้วยเสียงข้างมากในสภายุโรปให้เป็นประธานคณะกรรมาธิการยุโรป
(President of the European Commission) คนใหม่แทนนาย Jean-Claude
Juncker
เรื่องนี้หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่าเสียงสนับสนุนจากกลุ่มพรรคการเมืองผสม
383 เสียงจาก 733 เสียง เป็นคะแนนที่ค่อนข้างจะ “ปริ่มน้ำ” ซึ่งสร้างความกังวลในแง่เสถียรภาพและความเชื่อมั่นทางการเมือง
และอาจจะทำให้การผลักดันนโยบาย หรือการผ่านร่างกฎหมายของคณะกรรมาธิการยุโรปมีความยากลำบาก
เนื่องจากต้องประสานประโยชน์และข้อขัดแย้งกับกลุ่มต่างๆ
อีกทั้งการที่ฝ่ายพรรคการเมืองฝ่ายขวาและฝ่ายขวาจัด มีจำนวนที่นั่งในสภายุโรปมากขึ้น
ก็อาจทำให้การเจรจาผลประโยชน์มีความเข้มข้นและซับซ้อนมากขึ้นได้
ทั้งนี้
คาดว่าอียูจะยังคงผลักดันให้คู่เจรจาความตกลง FTA ต่างๆ ดำเนินการตามค่านิยมหลักของอียู อาทิ ประชาธิปไตยและระบบการค้าเสรีที่เป็นธรรม
ตลอดจนสิทธิมนุษยชนต่อไป รวมทั้งประเด็นที่เป็นนโยบายสำคัญของอียู เช่น
การรักษาสิ่งแวดล้อมและความเท่าเทียมทางเพศ
ที่อาจได้รับการผลักดันให้เป็นมาตรฐานใหม่ในการเจรจาความตกลงการค้ากับอียูต่อไป
อ้างอิง : ศูนย์ธุรกิจสัมพันธ์ และสถานเอกอัครราชทูต ณ
กรุงบรัสเซลส์
: รายงานเรื่อง ไทย-อียู FTA: ความหวังที่สดใสท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลก