หลังจากเกิดปัญหาสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน
ส่งผลให้มีการคาดการณ์ว่าผู้ผลิตจากจีนจะหันมาใช้ฐานการผลิตจากประเทศอาเซียนส่งออกไปสหรัฐเพื่อ“เลี่ยงภาษี”
ประเด็นนี้ทำให้หลายประเทศในอาเซียน
รวมถึงเวียดนามได้หันมาเข้มงวดเรื่องการแก้ปัญหาการแอบอ้างแหล่งกำเนิดสินค้ามากขึ้น
สำนักข่าว Tuoi Tre เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2562 ที่ผ่านมา Nguyen Xuan Phuc นายกรัฐมนตรีเวียดนามได้สั่งให้กระทรวงและหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องดำเนินการตรวจสอบแหล่งกำเนิดสินค้าของสินค้าเวียดนามที่ส่งออกไปยังสหรัฐอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันการนำฉลากระบุแหล่งกำเนิดสินค้าเวียดนาม หรือ “Made in Vietnam” ไปใช้โดยมิชอบ
การติดฉลากนี้ เป็นไปตาม Decree ที่ 43/2017 ว่าด้วยการติดฉลากสินค้าบนสินค้าทุกชนิด ซึ่งกำหนดให้จะต้องระบุรายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับ ชื่อผู้ผลิตไม่ว่าจะเป็นบุคคลหรือนิติบุคคล และแหล่งกำเนิดสินค้า รวมทั้งกำหนดให้ผู้จัดจำหน่ายสินค้ากำกับดูแลและให้ความสำคัญกับข้อมูลที่จะระบุลงไปบนฉลากสินค้า และรับผิดชอบต่อการระบุแหล่งกำเนิดสินค้าของตนเองด้วย
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลค์ Facebook bangkokbanksme
เหตุผลสำคัญในการเข้มงวดเรื่องดังกล่าว เพื่อให้การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศเป็นไปตามที่ตั้งเป้าหมายไว้จำเป็นต้องส่งเสริมการส่งออก
หากมีการนำฉลากระบุแหล่งกำเนิดสินค้าไปใช้ก็อาจจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของเวียดนามได้
อีกทั้งความเข้มงวดในการแก้ปัญหาการแอบอ้างแหล่งกำเนิดสินค้าเวียดนามเกิดขึ้นภายหลังจากเวียดนามได้มีการทำความตกลงเขตการค้าเสรี
(FTA) 13 ฉบับ ซึ่งในจำนวนนั้น
ได้รวมถึงความตกลงการค้าเสรีที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก
(CPTPP) ซึ่งเป็นตลาดส่งออกสำคัญที่เวียดนามตั้งเป้าหมายว่าจะผลักดันการส่งออกไปให้ได้มากขึ้น
รัฐบาลเวียดนามมีแผนจะจัดตั้งหน่วยงานเฉพาะกิจพิเศษเพื่อสนับสนุนและรองรับการลงนามความตกลงการค้าเสรีใหม่ๆเพิ่ม
สำหรับมาตรการที่เวียดนามได้เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบการแอบอ้างแหล่งกำเนิดสินค้านั้น ทางรัฐบาลได้มุ่งเป้าไปที่การให้หน่วยงานทุกฝ่ายเฝ้าระวังการขนถ่ายสินค้าผ่านแดนอย่างใกล้ชิด เนื่องจากอาจจะมีการนำสินค้าที่เข้าข่ายหลบเลี่ยงภาษีและมาสวมสิทธิ์โควต้าภาษีระหว่างกระบวนการ ซึ่งการกระทำใดใดก็ตามที่เป็นการทุจริตทางการค้าละเมิดกฎว่าด้วยแหล่งกำเนิดสินค้า ส่งผลกระทบต่อคุณภาพสินค้า ตลอดจนก่อให้เกิดการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม อาจจะส่งผลทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์สินค้าของเวียดนามในตลาดโลกได้
ป้องกันสินค้าแอบอ้างแหล่งกำเนิดสินค้า
ล่าสุดนายกรัฐมนตรีได้อนุมัติให้กระทรวงความมั่นคงสาธารณะและกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้าของเวียดนามบูรณาการร่วมกันจัดการแผนการเสริมสร้างความเข้มแข็งในเรื่องของการจัดการมาตรการป้องกันสินค้าที่มีการแอบอ้างแหล่งกำเนิดสินค้า
พร้อมทั้งให้รัฐบาลของกรุงฮานอยและโฮจิมินห์ให้ความสำคัญเรื่องนี้มากขึ้น
นอกจากกฎหมายภายในของเวียดนามจะถูกกำหนดขึ้น เพื่อป้องกันการสวมสิทธิ์แหล่งกำเนิดสินค้าจะทำลายภาพลักษณ์สินค้าเวียดนามในตลาดส่งออกแล้ว ยังเป็นผลมาจากการที่เวียดนามเข้าร่วมความตกลงการค้าเสรี ระดับพหุภาคีซึ่งต่างก็มีข้อกำหนดเกี่ยวกับแหล่งกำเนิดสินค้า เช่น ความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียนมีเงื่อนไขในการออกใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้ากล่าวคือจะต้องมีการใช้วัตถุดิบภายในภูมิภาคอาเซียนรวมกันไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 เช่นสินค้าหนึ่งชิ้นอาจจะใช้วัตถุดิบจากไทยร้อยละ 10 จากอินโดนีเซียร้อยละ 10 มาเลเซียร้อยละ 15 และเวียดนามเพียงร้อยละ5 ก็ได้ เป็นต้น
ขณะที่ในความตกลงองค์การการค้าโลก (WTO) มีมาตรการการปรับระเบียบการขอใบรับรองแหล่งกำเนิดสินค้าให้ง่ายขึ้น เพื่อกระตุ้นให้เกิดการปฏิบัติที่ถูกต้องของผู้ประกอบการ โดยเฉพาะภายใต้ความตกลงต่างๆอย่าง CPTPP การสร้างความโปร่งใสโดยการนำเทคโนโลยีสาระสนเทศมาใช้ในขั้นตอนพิธีการศุลกากรการ เชื่อมโยงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบ National Single Window รวมถึงหน่วยงานตรวจสอบการรับรองแหล่งกำเนิดสินค้า และการประยุกต์ใช้แนวปฏิบัติระหว่างประเทศโดยเฉพาะข้อกำหนดสำหรับการรับรองแหล่งกำเนิดสินค้าด้วยตัวเอง (Self-Co) เป็นต้น การสร้างความร่วมมือกับหน่วยงานด้านศุลกากรของคู่ค้าสำคัญ และการแลกเปลี่ยนข้อมูลความรู้สินค้าที่มีความเสี่ยงที่จะมีการสวมสิทธิ์แหล่งกำเนิดสินค้าเช่นเหล็กและเหล็กกล้าสิ่งทอและเครื่องแต่งกายเครื่องหนังและรองเท้าซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงในการถูกตรวจสอบ