Future of Work คือโลกแห่งการทำงานในอนาคตซึ่งกำลังอยู่ระหว่างกระบวนการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ
เป็นกระแสตื่นตัวสำหรับผู้บริหารองค์กรทั่วโลก
ซึ่งตระหนักถึงเทคโนโลยีและองค์ความคิดของคนยุคปัจจุบันที่มีพฤติกรรมและทัศนคติการทำงานที่แทบเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
ความสำคัญของการเปลี่ยนแปลงวิถีการทำงานของคนยุคใหม่และคนรุ่นใหม่ที่กำลังเติบโตเข้าสู่ระบบแรงงาน
เราเชื่อว่าเทคโนโลยีได้เดินไปไกลและเร็วกว่าที่ระบบการศึกษาจะผลิตคนที่มีทักษะที่ทางบริษัทต้องการมาได้ทัน
กล่าวกันว่า AI หรือ ปัญญาประดิษฐ์พร้อมที่จะเข้ามาเปลี่ยนโฉมหน้าการทำงานในบริษัทให้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป โดยการทำงานของคนในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก การสื่อสารด้วยระบบดิจิทัล ทำให้การทำงานระยะไกลเป็นเรื่องธรรมดาไปพร้อมๆกับเศรษฐกิจที่กำลังเติบโตขึ้น
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลค์ Facebook bangkokbanksme
บริษัทต่างๆจะทำอย่างไรต่อไป
และจะปรับตัวไปในทิศทางไหนบ้าง?
G-Able ผู้ให้บริการไอทีครบวงจรระดับประเทศได้สรุปสิ่งที่องค์กรควรจะตระหนักและปรับตัวใน
3 หัวข้อไว้อย่างน่าสนใจซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
1. Work is changing |
ยุคสมัยของการทำงานแบบ Automation
จากตัวอย่างผลวิจัยของสถาบัน McKinsey Global กิจกรรมอย่างน้อย 30%
ที่เกี่ยวข้องกับอาชีพส่วนใหญ่ในอเมริกานั้นสามารถแทนที่ด้วยระบบอัตโนมัติ
รวมไปถึงงานด้านความรู้ที่เคยเข้าใจกันว่าไม่สามารถแทนที่ได้
ในไทยเองเราก็จะเห็นได้ว่าองค์กรใหญ่ๆก็มีการเปลี่ยนแปลง
ที่เห็นได้ชัด เช่น ธนาคารต่างทยอยปิดสาขา หันมาใช้ระบบอัตโนมัติแทน
หรือการใช้ระบบเสียงอัตโนมัติแทนการใช้คน และใช้ Chatbot ในการสื่อสารกับลูกค้า
ทุกอย่างเข้าสู่การทำงานแบบระบบ Automation ที่ถูกควบคุมด้วยระบบ
และเทคโนโลยี
รูปแบบการทำงานแบบกระจายตัวกัน (Distributed Model) ของคนทำงานในปัจจุบัน
นำความท้าทายมาสู่สภาพแวดล้อมการทำงานมากขึ้น
ในขณะที่ธุรกิจก็ยังคงเติบโตต่อไปเรื่อยๆ คนเราเริ่มทำงานได้ในที่ต่างๆกัน
มีเจ้านาย หรือผู้บังคับบัญชาระยะไกลมากขึ้น
เมื่อเจ้านายส่งลูกน้องเหล่านี้ลงสนามเพื่อไปพบลูกค้า ก็จะมีความท้าทายในเรื่องของการประเมินผลงาน
และทักษะความสามารถ
ด้วยเหตุนี้ องค์กรจึงต้องการคนที่มีความคิดทางกลยุทธ์ที่ล้ำลึกขึ้นเพื่อบริหารคนในองค์กรรูปแบบใหม่ เมื่อพวกเขาไม่ได้ทำงานอยู่ในที่เดียวกัน ผู้บริหารจำเป็นต้องคิดให้ต่างไปจากเดิม
เพื่อให้พนักงานที่อยู่ไกลทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
สม่ำเสมอและรู้สึกว่าใกล้ชิดกับทีม
แม้จะไม่ได้นั่งอยู่ในที่เดียวกันกับผู้จัดการก็ตาม
2. New skills needed เพิ่มพูนทักษะใหม่ให้หลากหลายมากขึ้น
เมื่อก่อนนั้นคนเราก็อาจจะคิดว่า
“ฉันมีทักษะที่ใช้ตอนช่วงอายุ 20 ฉันสามารถใช้มันไปเรื่อยๆจนกว่าจะอายุ 60 ได้”
แต่มันจะไม่เป็นอย่างนั้นอีกต่อไป
เพราะเราจะเข้ามาอยู่ในยุคของคนที่กำลังมองหาทักษะอื่นๆที่ไม่ใช่ทักษะเดิมๆ
ซึ่งจะส่งผลให้คนจำนวนมากตกงาน
การทำงานยุคใหม่จะท้าทายคนเราให้ปรับตัวมากขึ้น
จะมีการจ้างงานคนที่มีความยืดหยุ่นและเติบโตทางความคิดมากกว่าคนที่มองอะไรด้านเดียว
เพราะคนที่มีทัศนคติการทำงานแบบไม่ยืดหยุ่น ไม่เรียนรู้อะไรใหม่
ในไม่ช้าก็จะถูกแทนที่ด้วยเครื่องจักรและปัญญาประดิษฐ์
ดังนั้นองค์กรควรฝึกให้ทุกคนเห็นตั้งแต่เริ่มแรกว่างานที่เขาทำนั้นมีคุณค่าอย่างไรบ้าง
ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่ได้เกิดได้แค่ชั่วข้ามคืน แต่ต้องอาศัยการบ่มเพาะที่เติบโตขึ้น
3. Stretching
mind-sets | ปรับทัศนคติของคนทำงาน
ถ้าคุณพูดกับคนในองค์กรว่า “คุณต้องปรับตัวนะ”
แต่คุณไม่ได้ช่วยพวกเขาเรียนรู้วิธีการสร้างความคิดที่จะ “เปลี่ยนแปลง”
มันก็ไม่ช่วยให้เกิดอะไรขึ้น
สิ่งที่ตามมาอาจมีผลกระทบกับประสิทธิภาพการทำงานของคนเหล่านั้นด้วยซ้ำ
เพราะพวกเขาถูกบังคับให้เปลี่ยนโดยไม่รู้เหตุผล
ไร้แรงบันดาลใจว่าทำไมจึงต้องเปลี่ยน? และเปลี่ยนแล้วจะนำไปสู่สิ่งที่ดีกว่าจริงหรือ?
ดังนั้นองค์กรควรเริ่มจากการปรับ
Culture ในการทำงาน
เพื่อช่วยเหลือให้คนมีระบบความคิดที่พร้อมจะปรับตัวในการเรียนรู้มากขึ้น
โดยจัดอบรมให้ความรู้บุคลากรให้พร้อมเพื่อที่จะไม่ถูกแทนที่ด้วย AI สร้างทัศนคติที่ดีเพื่อตอบรับเทคโนโลยีที่เข้ามาอย่างรวดเร็ว
อ้างอิง : G-ABLE CO., LTD.