ปัจจุบันผู้บริโภคล้วนคำนึงถึงการดำเนินงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของบริษัท
ไม่ว่าจะขนาดเล็กหรือใหญ่ ล้วนต้องการจะทราบข้อมูลของบริษัท ก่อนตัดสินใจจะร่วมทำธุรกิจด้วย
เช่น สินค้าผ่านกระบวนการผลิตที่ยั่งยืนและซัพพลายเชนของบริษัทฯ
เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมหรือไม่
และบริษัทเหล่านี้สามารถลดอัตราการสร้างมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมได้ตามเป้าหมายที่วางไว้หรือไม่
โดยปัญหาเหล่านี้สามารถแก้ไขได้ด้วยการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่
การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีจะทำให้เกิดการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มธุรกิจขนาดเล็ก
เพราะสามารถเข้าถึงได้ง่ายและคุ้มค่ามากกว่า เมื่อใช้เครื่องมือดิจิทัลและเครือข่ายที่เหมาะสม
ทำให้ธุรกิจ SMEs มีความคล่องตัวมากขึ้น
และสามารถตอบสนองต่อความต้องการซัพพลายเชน ที่เป็นมิตรต่อธรรมชาติที่เพิ่มขึ้นของลูกค้าได้อีกด้วย
ในขณะเดียวกันปัญหาหลักของกลุ่มธุรกิจ SMEs คือจะทำอย่างไรให้สามารถใช้เทคโนโลยีเพื่อผลักดันการเติบโตของบริษัทฯ บนรากฐานธุรกิจที่ยั่งยืนได้อย่างเต็มความสามารถมากที่สุด ซึ่งในความจริงแล้วสามารถทำได้บนปัจจัยหลัก คือ
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ระบบซัพพลายเชนที่โปร่งใส
ประการแรก บริษัทฯ
ต้องสร้างความโปร่งใสให้กับระบบซัพพลายเชน นั่นหมายถึง
ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบที่มาที่ไปได้อย่างเต็มรูปแบบ
ผ่านการขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี ซึ่งเทคโนโลยีอย่างปัญญาประดิษฐ์ (AI) การเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learning) อินเตอร์เน็ตในทุกสิ่ง (Internet of Things - IOT) เซนเซอร์เพื่อติดตามสถานะการขนส่ง
หรือระบบอัตโนมัติขั้นสูง ทำให้ผู้ประกอบการ SMEs สามารถเข้าใจระบบซัพพลายเชนแบบครบวงจรได้มากขึ้น
นอกจากสร้างความโปร่งใสให้กับระบบซัพพลายเชนแล้ว
การเพิ่มประสิทธิภาพของนวัตกรรมและเทคโนโลยี ยังส่งผลให้ผู้ประกอบการ SMEs สามารถดำเนินธุรกิจได้ดีขึ้น
ด้วยการใช้ทรัพยากรต่างๆ ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
อย่างไรก็ตาม ในหลายๆ ครั้ง ธุรกิจ SMEs มักได้เปรียบด้านระบบซัพพลายเชนมากกว่าบริษัทรายใหญ่ โดยเฉพาะธุรกิจสตาร์ทอัพ เนื่องจากสามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงของตลาดได้อย่างรวดเร็ว และยังสามารถควบคุมซัพพลายเออร์
หรือหุ้นส่วนทางธุรกิจได้ นอกจากนี้
พวกเขายังสามารถกำหนดโยบายด้านความยั่งยืนขององค์กรได้
โดยเลือกซัพพลายเออร์ที่คำนึงถึงผลิตภัณฑ์และบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
เพื่อส่งเสริมระบบกรีนซัพพลายเชน
เพิ่มขีดจำกัดด้วยพลังดิจิทัล
ปัจจุบันนี้เทคโนโลยีคลาวด์คอมพิวติ้ง (Cloud
Computing) และฐานข้อมูลอัจฉริยะ (Intelligent database) ช่วยให้ธุรกิจสามารถสร้างดิจิทัลแดชบอร์ด ที่แสดงให้เห็นมาตรวัดต่างๆ
รวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมและคู่มือการทำธุรกิจ
ซึ่งส่งผลให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการดำเนินธุรกิจ เช่น
การใช้เทคโนโลยีอย่างชาญฉลาด ทำให้ผู้ประกอบการ SMEs สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้อย่างรวดเร็ว
มีประสิทธิภาพ และยั่งยืนมากที่สุด
ขยายธุรกิจเพื่อสร้างโซลูชันที่ยั่งยืน
ผู้ประกอบการ SMEs ควรมองหาโซลูชั่นต่างๆ
ในการขยายธุรกิจและลงทุนกับแนวคิดใหม่ๆ เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการดำเนินธุรกิจ
รวมถึงลดมลพิษในชุมชนต่างๆ ทั่วโลก ในหลายๆ ครั้ง
ผู้ประกอบการอาจขยายธุรกิจและเครือข่ายระดับโลก โดยเลือกใช้ซัพพลายเออร์ขนาดใหญ่หรือผู้ให้บริการโลจิสติกส์ รวมถึงปริมาณการขนส่งสินค้าต่อครั้ง
และยังลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย
ลดการใช้พลังงานและปล่อยมลพิษ
โดยเฉลี่ยแล้วประชากร 7 ล้านคนทั่วโลกเสียชีวิตก่อนวัยอันควรทุกปี
เพราะมลพิษทางอากาศ โดย 4 ล้านคนจากจำนวนนี้อาศัยอยู่ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ดังนั้นผู้ประกอบการ SMEs
ควรคิดวิธีการบริหารจัดการระบบซัพพลายเชน
โดยคำนึงถึงพลังงานที่จำกัดในปัจจุบัน เช่น ปรับปรุงการกระบวนการดำเนินงาน
ตั้งแต่การจัดเส้นทาง การใช้เครื่องจักรอัตโนมัติ และขั้นตอนการทำงานอื่นๆ รวมถึงลดการปล่อยมลพิษ
หาเชื้อเพลิงทดแทน และการใช้เครื่องยนต์ไฟฟ้าและไฮบริด
เพื่อสร้างระบบซัพพลายเชนที่ยั่งยืนในอนาคต
การพัฒนาอย่างยั่งยืนเป็นผลดีต่อธุรกิจ
องค์การสหประชาชาติคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจมูลค่ามากถึง
5–7 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ จะถูกปลดล็อคหากเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนบรรลุผลภายในปี
2573
ดังนั้นจะเห็นได้ว่าการพัฒนาอย่างยั่งยืนไม่ได้ส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อมเพียงอย่างเดียว
แต่ยังช่วยให้ธุรกิจสามารถแข่งขันได้ท่ามกลางสภาวะที่โลกมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การสร้างความโปร่งใสในระบบซัพพลายเชน จะช่วยลดต้นทุนการผลิตและดึงลูกค้าที่สนใจในสินค้าและบริการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
โดยเฉพาะกลุ่มมิลเลนเนียล
ซึ่งเป็นกลุ่มผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อที่มีแนวโน้มจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ในหลายๆ ครั้ง การเติบโตของธุรกิจอย่างรวดเร็วควบคู่ไปกับความรับผิดชอบต่อสังคม สามารถสร้างกำไรให้กับธุรกิจโดยตรงได้ ซึ่งเฟดเอ็กซ์ เคยทำรายได้ถึง 7.3 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ จากการแสดงข้อมูลการจัดการก๊าซเรือนกระจกในบัญชีการเงินปีที่ผ่านมาให้กับลูกค้า
ดังนั้นสำหรับ
SMEs ถึงแม้จะเป็นธุรกิจขนาดเล็ก
แต่มีการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ
เพราะมีรูปแบบในการดำเนินธุรกิจที่ไม่ได้ยึดตามแบบเดิมๆ
โดยโครงการพื้นฐานดิจิทัลช่วยส่งเสริมให้ผู้ประกอบการ SMEs สามารถปรับตัวและเรียนรู้การทำธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว
ทั้งความก้าวหน้าของเทคโนโลยี ทำให้ผู้ประกอบการขนาดเล็กสามารถมองภาพใหญ่ของธุรกิจได้มากขึ้น
และมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจบนพื้นฐานของความยั่งยืน
ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญในการดำเนินธุรกิจในระยะยาว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
ที่ยังให้ความสำคัญในเรื่องการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนน้อยกว่าในยุโรปหรืออเมริกา
นั่นหมายความว่า บริษัทที่ให้ความสำคัญในด้านนี้ก่อน
ย่อมได้เปรียบมากกว่าบริษัทอื่น ๆ
หากบริษัทขนาดเล็กมีแนวคิดที่เป็นมิตรต่อธรรมชาติ
สร้างนวัตกรรมใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง
รวมถึงเลือกใช้เทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนกรีนซัพพลายเชน จะส่งผลให้บริษัทฯ
เติบโตอย่างแข็งแกร่งและประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน
อ้างอิง : เรียบเรียงจากบทความของ คาเรน เรดดิงตัน บริษัท เฟดเอ็กซ์ เอ็กซ์เพรส ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก