โควิด 19 เป็นเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคทางเดินหายใจ หลังติดเชื้ออาจไม่มีอาการ หรืออาจมีอาการตั้งแต่ไม่รุนแรงคือคล้ายกับไข้หวัดธรรมดา หรืออาจก่อให้เกิดอาการรุนแรงเป็นปอดอักเสบและเสียชีวิตได้ ซึ่งผู้ป่วยเรื้อรังด้วยโรคประจำตัวบางโรค หากติดโควิด 19 มักจะพบความเสี่ยงที่อาการจะเพิ่มความรุนแรงกว่าคนทั่วไป ดังนั้นกลุ่มผู้ป่วยดังกล่าวควรระมัดระวัง และหลีกเลี่ยงความเสี่ยงในการติดโควิด 19
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
8
กลุ่มผู้ป่วยที่เสี่ยงมีอาการรุนแรงหากติดโควิด 19
1. โรคเบาหวาน
ผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 1 และชนิดที่ 2 รวมถึงผู้ป่วยโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์
ล้วนมีความเสี่ยงในการเกิดอาการรุนแรงหากติดโควิด 19
เนื่องจากผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลได้ไม่ดีและมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าเป้าหมาย
มักมีโรคแทรกซ้อนอื่นๆ ร่วมด้วย นอกจากนี้การติดเชื้อยังทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดผันผวนและควบคุมได้ยาก
ทำให้ภูมิคุ้มกันต่ำลงและติดเชื้อได้ง่ายขึ้น
รวมถึงเชื้อโรคเจริญเติบโตได้ดีในภาวะน้ำตาลในเลือดสูง ดังนั้นในช่วงระบาดของโควิด
19 ผู้ป่วยควรปฏิบัติตัว ดังนี้
- ปฏิบัติตัวตามแพทย์แนะนำ กินยาเบาหวาน ยาร่วมอื่นๆและฉีดอินซูลินตามปกติ
- สำรองยาและอินซูลินไว้อย่างน้อย 2 สัปดาห์
- วัดอุณหภูมิร่างกายทุกเช้าเย็น เพราะอาการไข้อาจบ่งชี้ถึงการติดเชื้อ
- สำรองอาหารประเภทน้ำตาลเผื่อไว้สำหรับเมื่อมีภาวะน้ำตาลต่ำ
- ตรวจสอบระดับน้ำตาลในเลือดบ่อยครั้งขึ้นและติดตามผลให้อยู่ในระดับ 80-180 มก./ดล.
- ชั่งน้ำหนักร่างกายทุกวัน หากน้ำหนักลดลงขณะกินอาหารได้ตามปกติ
เป็นสัญญาณว่าระดับน้ำตาลในเลือดสูง
- ดื่มน้ำให้เพียงพอเพราะการติดเชื้อทุกชนิด ทำให้ร่างกายขาดน้ำ
- หากมีอาการคล้ายไข้หวัด เช่น มีไข้ ไอ หายใจลำบากให้รีบปรึกษาแพทย์
- หากอยู่เพียงลำพังให้หาคนที่มั่นใจว่าจะช่วยเหลือคุณได้เมื่อมีเหตุฉุกเฉิน
2. โรคไตเรื้อรัง
ผู้ป่วยโรคไตซึ่งอยู่ในขั้นที่
3 ถึง 5 ผู้ป่วยที่รักษาด้วยการฟอกเลือดและผู้ป่วยที่เปลี่ยนถ่ายไต
อยู่ในกลุ่มเสี่ยงในการมีอาการรุนแรง
ผู้ป่วยที่รักษาด้วยการฟอกเลือดอาจมีภูมิคุ้มกันต่ำกว่าคนปกติทั่วไป
นอกจากนี้ผู้ป่วยที่ได้รับการเปลี่ยนถ่ายไตต้องได้รับยากดภูมิคุ้มกัน ทำให้ภูมิคุ้มกันลดต่ำลงโอกาสติดเชื้อได้ง่ายขึ้น
ผู้ป่วยควรปฏิบัติตามข้อแนะนำดังนี้
- สำหรับผู้ป่วยที่รักษาด้วยการฟอกเลือดให้มารับบริการตามนัดหมาย
หากคุณมีไข้ให้ติดต่อกับทางโรงพยาบาลก่อนที่จะเข้ารับบริการ
- ผู้ป่วยที่ได้รับการเปลี่ยนถ่ายไต
ให้กินยาตามที่แพทย์สั่งและสำรองยาไว้อย่างน้อย 2 สัปดาห์
- ปฏิบัติตามข้อแนะนำด้านการรักษาสุขอนามัยในช่วงการระบาดของโควิด
19
3.
โรคปอดและทางเดินทางหายใจ
ผู้ป่วยโรคปอดและทางเดินหายใจที่มีความเสี่ยงสูง
คือผู้ป่วยโรคหืดหอบระดับปานกลางถึงรุนแรง และผู้ป่วยโรคปอดเรื้อรัง เช่น
โรคหลอดลมอุดกั้นเรื้อรัง (COPD)
โรคปอดอักเสบเรื้อรัง และโรคซิสติก ไฟโบรซิส เนื่องจากโควิด 19 มีผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจ
กระตุ้นอาการหอบหืดและอาจทำให้เกิดโรคปอดบวมและโรคร้ายแรงอื่นๆ สำหรับผู้ป่วยโรคปอด
โควิด 19 อาจทำให้โรคปอดกำเริบหนักขึ้น
ทำให้ผู้ป่วยมีอาการรุนแรง ข้อควรปฏิบัติตัวสำหรับผู้ป่วยโรคปอดและทางเดินหายใจคือ
- ใช้ยาอย่างต่อเนื่องรวมถึงยากลุ่มคอร์ติโคสเตียรอยด์ตามที่แพทย์แนะนำ
- สำรองยาไว้อย่างน้อย
2 สัปดาห์ ควรจำกัดการเดินทางไปยังร้านขายยา
- หลีกเลี่ยงปัจจัยที่ทำให้อาการกำเริบหรือแย่ลง
- หากเป็นไปได้ให้ผู้อื่นที่ไม่ได้เป็นโรคหอบหืด
ช่วยทำความสะอาดบ้านและฆ่าเชื้อโรคภายในบ้านให้
โดยใช้ยาฆ่าเชื้อที่อาจทำให้อาการหอบหืดกำเริบให้น้อยที่สุด
ฉีดน้ำยาทำความสะอาดเพื่อฆ่าเชื้อลงบนผ้าแทนที่จะฉีดลงบนพื้นผิวที่ต้องการทำความสะอาดโดยตรง
รวมถึงให้เปิดประตู หน้าต่าง และเปิดพัดลมเป่าอากาศภายในบ้านออกไป
- ทำตามข้อแนะนำด้านการรักษาสุขอนามัยในช่วงการระบาดของโควิด
19
4. โรคอ้วน
ผู้ที่เป็นโรคอ้วนชนิดรุนแรงคือผู้ที่มีค่าดัชนีมวลกายตั้งแต่
40 ขึ้นไป หรือตั้งแต่ 30 ขึ้นไปสำหรับชาวเอเชีย
ผู้ที่เป็นโรคอ้วนชนิดรุนแรงมีความเสี่ยงในการเกิดกลุ่มอาการหายใจลำบากเฉียบพลัน (ARDS) ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญของโรคโควิด 19 นอกจากนี้ผู้ที่เป็นโรคอ้วนชนิดรุนแรงยังมีโรคประจำตัวเรื้อรังอื่นๆ
ที่ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงของการมีอาการที่รุนแรง ดังนั้นควรปฏิบัติดังนี้
- ใช้ยาอย่างเนื่องตามที่แพทย์สั่ง
- สำรองยาไว้อย่างน้อย
2 สัปดาห์
- ตามข้อแนะนำด้านการรักษาสุขอนามัยในช่วงการระบาดของโควิด 19
5. โรคตับ
ผู้ป่วยโรคตับเรื้อรัง
เช่น โรคตับแข็ง ผู้ป่วยปลูกถ่ายตับที่ใช้ยากดภูมิคุ้มกัน
ผู้ป่วยภาวะที่มีตับอักเสบจากภูมิไวเกิน (AIH) และผู้ป่วยมะเร็งตับที่อยู่ระหว่างการรักษาด้วยคีโม
มีความเสี่ยงที่จะเกิดอาการรุนแรกหากติดโควิด 19 เนื่องจากอาการป่วยจากโรคโควิด
19 รวมถึงยาที่ใช้ในการรักษาโรคอาจมีผลกระทบต่อการทำงานของตับ
โดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับตับอยู่เดิม
ดังนั้นควรปฏิบัติดังนี้
- ใช้ยาอย่างเนื่องตามที่แพทย์สั่ง
- สำรองยาไว้อย่างน้อย
2 สัปดาห์
- ตามข้อแนะนำด้านการรักษาสุขอนามัยในช่วงการระบาดของโควิด
19
6.
ผู้มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง
ผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง
เช่น กลุ่มผู้ป่วยโรคมะเร็ง กลุ่มผู้ป่วยโรคเอดส์ คนที่สูบบุหรี่ล้วนมีความเสี่ยงในการเกิดอาการรุนแรงเนื่องจากภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอ
ทำให้ร่างกายไม่สามารถต่อสู้กับเชื้อโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ผู้ป่วยกลุ่มนี้ยังอาจติดเชื้อนานกว่าผู้ป่วยโควิด 19 กลุ่มอื่นๆ ผู้ป่วยสามารถปฏิบัติตัวตามข้อแนะนำดังนี้
- ใช้ยาอย่างเนื่องตามที่แพทย์สั่ง
- สำรองยาไว้อย่างน้อย
2 สัปดาห์
- ระวังอย่าให้ภูมิคุ้มกันลดต่ำลงกว่าเดิม ความเครียด การอดนอน ความเหนื่อยล้าทางร่างกาย
ทำให้ภุมิคุ้มกันลดต่ำลงได้
ผู้ป่วยควรหาวิธีการจัดการกับความเครียดและพักผ่อนให้เพียงพอ
กินอาหารที่ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย
7.
ผู้ป่วยที่ใช้ยากดภูมิคุ้มกัน
เช่น
ผู้ที่ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะอยู่ในกลุ่มเสี่ยง เนื่องจากยากดภูมิคุ้มกันทำให้ภูมิคุ้มกันร่างกายอ่อนแอลง
เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายต่อต้านอวัยวะใหม่ แต่ขณะเดียวกันทำให้มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อง่ายขึ้น
และอาจมีความรุนแรงของการติดเชื้อสูงขึ้น
- ใช้ยาอย่างเนื่องตามที่แพทย์สั่ง
- สำรองยาไว้อย่างน้อย
2 สัปดาห์
- ตามข้อแนะนำด้านการรักษาสุขอนามัยในช่วงการระบาดของโควิด
19
8. ผู้ป่วยโรคหัวใจ
หากติดโควิด 19 อาจมีอาการหัวใจวายหรือภาวะหัวใจล้มเหลวได้
อาการโรคหัวใจที่รุนแรงยิ่งขึ้นนี้ เกิดจากอาการป่วยของการติดเชื้อไวรัสและการที่หัวใจต้องทำงานหนักขึ้น
เช่น หัวใจเต้นเร็วขึ้นจากภาวะไข้
ประกอบกับระดับออกซิเจนที่ต่ำลงจากปอดบวมและโอกาสในการเกิดลิ่มเลือดอุดตันที่สูงขึ้น
นอกจากนี้ยังอาจพบภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบเฉียบพลัน (Myocarditis) ในกลุ่มผู้ป่วยโควิด 19 อีกด้วย ถึงแม้ไม่มีวิธีการป้องกันใดๆ เป็นพิเศษ แต่ผู้ป่วยควรปฏิบัติตัวดังนี้
- ใช้ยาอย่างเนื่องตามที่แพทย์สั่ง
- สำรองยาไว้อย่างน้อย
2 สัปดาห์
- ตามข้อแนะนำด้านการรักษาสุขอนามัยในช่วงการระบาดของโควิด
19
- ออกกำลังกายอยู่ที่บ้านตามที่แพทย์แนะนำ
จัดการกับความเครียด นอนหลับให้เพียงพอและกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ งดเค็ม
การทำเช่นนี้นอกจากช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกายแล้ว ยังช่วยชะลอการเสื่อมของกล้ามเนื้อหัวใจอีกด้วย
แหล่งอ้างอิง : โรงพยาบาลบํารุงราษฎร์