ยั่นวิกฤต! เปิดเหตุผล ‘ฮ่องกง’ ติด Top 4 ศูนย์กลางการเงินโลก
แม้ว่าที่ผ่านมาฮ่องกงต้องเผชิญความท้าทายหลายด้าน
ทั้งสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ และการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19
แต่ระบบการเงินและอัตราแลกเปลี่ยน รวมถึงการดำเนินธุรกรรมอื่นๆ
ของตลาดการเงินฮ่องกง ยังคงดำเนินได้อย่างราบรื่น เป็นระเบียบ และมั่นคง
โดยความสามารถด้านการแข่งขันและความแข็งแกร่งของระบบการเงินฮ่องกงเป็นที่ยอมรับของทั่วโลก ซึ่งจากการจัดอันดับดัชนีศูนย์กลางทางการเงินโลก (Global Financial Centres Index - GFCI) ครั้งที่ 29 ‘ฮ่องกง’ ครองอันดับ 4 ศูนย์กลางทางการเงินโลก รองจากนครนิวยอร์ก กรุงลอนดอน และนครเซี่ยงไฮ้ ตามลำดับจากการสำรวจ 126 เมืองทั่วโลก โดยขยับขึ้นจากอันดับ 5 ในการจัดอันดับฯ ครั้งก่อนเมื่อเดือนกันยายน 2563 (ที่มา : longfinance.net)
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
การจัดอันดับดัชนีศูนย์กลางทางการเงินโลก (Global
Financial Centres Index - GFCI)
เป็นผลการรายงานของ Z/Yen Group บริษัทที่ปรึกษาเชิงพาณิชย์
ณ กรุงลอนดอน ร่วมกับสถาบันการพัฒนาประเทศจีน (China Development Institute) ซึ่งประเมินข้อมูลจากองค์กรชั้นนำระดับโลก อาทิ องค์การสหประชาชาติ (United
Nations) ธนาคารโลก (World Bank)
และหน่วยงานวิเคราะห์ด้านเศรษฐกิจ (Economist Intelligence Unit) ขององค์การเพื่อความร่วมมือและพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD)
รวมทั้งสถาบันการเงินทั่วโลกกว่า 65,507 แห่ง และจากการประเมินของผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินผ่านระบบออนไลน์กว่า
10,774 ราย โดยประเมินคะแนนการเป็นศูนย์กลางทางการเงินจาก
5 ปัจจัยหลัก ประกอบด้วย
1. สภาพแวดล้อมทางธุรกิจ
2. การพัฒนาภาคการเงิน
3. ปัจจัยด้านโครงสร้างพื้นฐาน
4. ทุนมนุษย์
5. ชื่อเสียงของเมืองหรือประเทศ
แม้เจอสารพัดปัญหา ทำไม? ‘ฮ่องกง’ ติด Top 4
เหตุผลสนับสนุนให้ ‘ฮ่องกง’ ได้รับการจัดอันดับ GFCI ที่สูงขึ้น
เป็นเพราะฮ่องกงเป็นเมืองที่มีสภาพแวดล้อมที่ดีมากต่อการดำเนินธุรกิจ
มีขั้นตอนในการจัดตั้งธุรกิจที่สะดวกและรวดเร็ว รวมทั้งมีกฎหมายที่เอื้ออำนวยต่อการดำเนินธุรกิจและการลงทุนของบริษัทต่างชาติ
เห็นได้ชัดเจนจากรายงานผลการจัดอันดับความยากง่ายในการประกอบธุรกิจ (Ease
of Doing Business) ประจำปี 2563 ของธนาคารโลก
(World Bank) ซึ่งฮ่องกงครองอันดับ 3
จากการจัดอันดับ 190 ประเทศและเขตเศรษฐกิจทั่วโลก
เนื่องจากระบบภาษีที่ไม่ซับซ้อน
นโยบายด้านการเงินสำหรับการทำธุรกรรมระหว่างประเทศที่ค่อนข้างเสรี
มีจุดแข็งด้านการเป็นศูนย์กลางของสถาบันการเงินระหว่างประเทศ มีความเป็นสากล
มีโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง มีระบบกำกับดูแลตามมาตรฐานสากล มีหลักนิติธรรม
มีทรัพยากรบุคคลที่มีทักษะด้านการเงินจำนวนมาก และมีผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ครบวงจร
ตลอดจนข้อมูลและเงินทุนไหลเวียนอย่างเสรี ซึ่งนับเป็นข้อได้เปรียบที่ช่วยเสริมความแข็งแกร่งของฮ่องกงในการเป็นศูนย์กลางทางเงินระหว่างประเทศระดับโลก
อีกหนึ่งประเด็นสำคัญก็คือจุดแข็งและเอกลักษณ์ของตลาดการเงินฮ่องกง
การมีผลิตภัณฑ์ด้านการเงินที่หลากหลาย
มีเครื่องมือเพื่อการลงทุนมากมายและมีสภาพคล่องสูง ทำให้ฮ่องกงมีบทบาทสำคัญในฐานะ ‘Super
Connector’
เพื่อให้ตลาดต่างประเทศสามารถเข้าถึงตลาดจีนแผ่นดินใหญ่ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ฉบับที่
14
ของจีนจึงได้กำหนดให้ฮ่องกงมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาประเทศในด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมการเงิน
ซึ่งรัฐบาลกลางจะสนับสนุนการยกระดับฮ่องกงในด้านการเป็นศูนย์กลางทางการเงินระหว่างประเทศ
ศูนย์กลางธุรกิจเงินหยวนระหว่างประเทศ ศูนย์กลางการบริหารสินทรัพย์ระหว่างประเทศ
และศูนย์กลางการบริหารความเสี่ยง
รวมทั้งเป็นประตูเชื่อมระหว่างตลาดของจีนกับตลาดโลก
โดยใช้โอกาสจากโครงการอ่าวกวางตุ้ง-ฮ่องกง-มาเก๊า (Guangdong-Hongkong-Macao Greater Bay Area - GBA) และข้อริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (Belt
& Road Initiative)
ในอนาคต ‘ฮ่องกง’ จะยังคงเป็นศูนย์กลางทางการเงินที่สำคัญระดับโลก
ตามแผนเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 14
ของจีน ซึ่งได้ผนวกฮ่องกงเข้าไปอยู่ในยุทธศาสตร์การพัฒนาแบบวงจรคู่ขนาน (Dual
Circulation) ด้วยความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน
ประสบการณ์และศักยภาพในการเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ
และความได้เปรียบที่เป็นเอกลักษณ์ภายใต้หลักการ ‘หนึ่งประเทศ สองระบบ’
ส่งผลให้ฮ่องกงเปรียบเสมือนประตูเชื่อมที่สำคัญระหว่างจีนกับโลกนั่นเอง
แหล่งอ้างอิง :
ข้อมูลปฐมภูมิจากการสัมภาษณ์ สำนักงานธนาคารไทยในฮ่องกง
เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2564