การโยกย้ายฐานการผลิตจากเกาะฮ่องกงมาลงทุนไทย
เริ่มส่งสัญญาณชัดเจนนับตั้งแต่เกิดสงครามการค้า ระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีนแผ่นดินใหญ่
ที่ทวีความรุนแรงมาตั้งแต่ปี 2561 ถาโถมด้วยสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองที่ยังคงยืดยื้อมายาวนานกว่า
6 เดือน และยังไม่มีท่าทีจะยุติลงในเร็วๆ วันนี้ ยิ่งเร่งนักลงทุนฮ่องกงตัดสินใจมาลงทุนในในโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก(อีอีซี)เร็วขึ้น
เพื่อหลีกหนีวิกฤติครั้งนี้
โดยที่ผ่านมากลุ่มนักลงทุนจากฮ่องกง ได้ขอรับการส่งเสริมจากคณะกรรมการส่งเสริมการส่งทุน(บีโอไอ) อย่างต่อเนื่อง เข้ามาลงทุนในไทยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่ปี 2558 มีมูลค่าสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจน โดยปีดังกล่าวนักลงทุนฮ่องกงได้ขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอจำนวน 26 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนจำนวน 3,796 ล้านบาท
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
อย่างไรก็ตามตั้งแต่ปี 2561 ยอดขอส่งเสริมการลงทุนกับบีโอไอพุ่งขึ้นเป็นจำนวน
42 โครงการ คิดมูลค่าเงินลงทุนจำนวน 18,817 ล้านบาท ทว่าในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2562(ตั้งแต่เดือนมกราคม
– กันยายน 2562) มีกลุ่มนักลงทุนจากฮ่องกงแห่เข้าไปได้ยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอเพิ่มเป็นจำนวน
44 โครงการ คิดมูลค่าลงทุนรวมทั้งสิ้น 8,937 ล้านบาท ส่วนใหญ่การลงทุนอยู่ในกิจการด้านธุรกิจบริการ
เช่น กิจการศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศ, กิจการด้านโลจิสติกส์,
อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ,อุตสาหกรรมดิจิทัลและอุตสาหกรรมเบา
จากปัญหา 2 ปัจจัยลบดังกล่าว เป็นสาเหตุทำให้กลุ่มนักธุรกิจจากฮ่องกงต้องแตกไลน์การผลิตเข้ามาลงทุนในไทย
เนื่องจากไทยอยู่ในทำเลยุทธศาสตร์ยอดเยี่ยมของภูมิภาคอาเซียน อีกทั้งยังเป็นศูนย์กลางของกลุ่มชาติอาเซียนและกลุ่มประเทศ CLMV(กัมพูชา
ลาว เมียนมา เวียดนาม) ที่มีอัตราการเติบโตทางด้านเศรษฐกิจแข็งแกร่งเคียงข้างกับประเทศเพื่อนบ้าน
ตลอดทั้งแต่ละประเทศก็เร่งพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่ง เชื่อมโยงเป็นใยแมงมุมทั้งกลุ่มประเทศอาเซียน
เพื่อความสะดวกในการค้า การลงทุนและท่องเที่ยวระหว่างกัน
ขณะที่ประเทศไทยเอง มีจุดแข็งกว่าประเทศเพื่อนบ้านตรงที่เป็นศูนย์กลางอาเซียน
แล้วยังเร่งผลักดันให้ต่างชาติมาลงทุนใน โครงการอีอีซี ซึ่งเป็นโครงการที่มีศักยภาพและมีความพร้อมครบครัน
ที่สามารถรองรับการลงทุนจากต่างชาติแบบไร้ขีดจำกัดที่อยากเข้ามาลงทุนด้วย
เช่นเดียวกับนักลงทุนฮ่องกง ที่ต้องการขยายฐานการผลิตสู่ประตูภูมิภาคอาเซียนและกลุ่มประเทศ CLMVT(กัมพูชา
ลาว เมียนมา เวียดนาม ไทย)ทางโครงการอีอีซี เปิดกว้างอ้าแขนต้อนรับตลอดเวลา
ทัพนักธุรกิจฮ่องกงลุยลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน-ดิจิทัล
ก่อนหน้านี้ทัพนักธุรกิจจากฮ่องกงกว่า 70 ชีวิตยกทัพมาเยือนไทย
เข้าพบ ดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการบีโอไอ เพื่อขอการส่งเสริมสนับสนุนทางด้านการลงทุนในกลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน,
อุตสาหกรรมการผลิต,
ดิจิทัล,บริการมูลค่าเพิ่มสูง
พร้อมร่วมมือผู้ประกอบการไทย และสตาร์ทอัพ ในการยกระดับเทคโนโลยีและนวัตกรรม
ส่วนนักธุรกิจชั้นนำอีกกว่า 50 ในฮ่องกงยังมีความสนใจและมองหาโอกาสการลงทุนในด้านต่างๆในไทย
เช่นเดียวกับสมาคมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ฮ่องกง (Hong Kong Software Industry
Association) ก็ได้นำนักธุรกิจด้านเทคโนโลยีดิจิทัลและซอฟต์แวร์
ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็ก(เอสเอ็มอี) และกลุ่มสตาร์ทอัพจากฮ่องกง
จำนวน 25 ราย ซึ่งได้เข้าพบบีโอไอเพื่อรับฟังนโยบายการส่งเสริมการลงทุน
และการสนับสนุนจากรัฐบาลไทยว่ามีเงื่อนไขอย่างไรเป็นพิเศษบ้าง
โดยเฉพาะระบบนิเวศ (Ecosystem) ของไทย
ในการสนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีและสตาร์ทอัพ โดยภายหลังจากสมาคมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ฮ่องกงได้รับทราบข้อมูลครบทุกด้าน
ก็ได้แสดงเจตจำนงและยืนยันว่าเข้าจะขนกลุ่มนักธุรกิจมาร่วมลงทุนกับไทยอย่างแน่นอน
โดยการลงทุนลักษณะร่วมมือทางธุรกิจกับผู้ประกอบการไทย เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจร่วมกันให้เกิดความมั่นคงในอนาคต
“หลังจากเกาะฮ่องกงเผชิญกับวิกฤติทางการเมืองที่ยังไม่มีวีแววว่าจะยุติเมื่อไหร่ สร้างความหวั่นวิตกให้กับบรรดานักธุรกิจเป็นอย่างมาก หากปล่อยเหตุการณ์ลากยาวโดยไม่มีจุดยุติ ย่อมส่งกระทบเศรษฐกิจฮ่องกงถึงขั้นทรุดยาว เพราะฮ่องกงถือว่าเป็นศูนย์กลางการเงิน การค้า ชั้นนำของโลก ด้วยเหตุนี้จึงเร่งกระตุ้นกลุ่มนักลงทุนตัดสินใจไปลงทุนต่างประเทศเพื่อลดความเสี่ยงทางด้านธุรกิจ โดย 1 ในนั้นประเทศที่นักธุรกิจฮ่องกงตัดสินใจมาลงทุนด้วยมากที่สุด คือโครงการอีอีซีของไทย เพราะได้รับสิทธิ์ประโยชน์มากมายที่เอื้ออำนวยในการตัดสินใจลงทุนด้วยโดยไม่ลังเล”
CLMVT
เชื่อม One Belt
One Road
ภาคอุตสาหกรรมใหม่ที่ไม่ได้รับผลจากการทำสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีนโดยตรง
ประกอบด้วย กิจการดิจิทัล และเทคโนโลยีชีวภาพ ส่งผลทำให้ธุรกิจเหล่านี้เริ่มมาลงทุนในไทยมากขึ้น
มองเห็นโอกาสการมาลงทุนไปได้สวยเพราะได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล อีกทั้งยังมองเห็นศักยภาพของไทยที่เร่งผลักดันกลุ่มชาติ
CLMVT ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศที่กำลังมีอัตราการเติบโตแข็งแกร่งเชื่อมโยงนโยบาย
One Belt One Road ของทางการจีน ตลอดทั้งยังเชื่อมโยงพื้นที่ที่เศรษฐกิจเติบโตสูง
Greater Bay Area (GBA) ซึ่งครอบคลุมมณฑลกวางตุ้ง-ฮ่องกง-มาเก๊า
อีกทั้งความขัดแย้งในฮ่องกงที่ยาวนานกว่า 6
เดือน ทำให้บรรดานักธุรกิจในฮ่องกงต่างย้ายฐานธุรกิจไปยังประเทศอื่น
โดยไทยเป็นหนึ่งในประเทศเป้าหมาย และมีเงื่อนไขอื้อทำให้ตัดสินใจมาลงทุนในไทยเร็วขึ้น
ซึ่งนักธุรกิจกลุ่มนี้ต้องการย้ายมาอาเซียนอยู่แล้ว โดยมีเป้าหมายอยู่ที่ไทยและเวียดนาม
แต่หากเป็นนักลงทุนจากฮ่องกงแล้วละก็
ส่วนใหญ่จะเลือกมาลงทุนไทยเพราะคุยกันรู้เรื่องมากกว่า
และไม่มีปัญหาด้านการเมืองหรือประวัติศาสตร์กับจีนเหมือนเวียดนาม
ขณะที่นักลงทุนชาติอื่นที่อยู่ในฮ่องกงอาจเลือกเวียดนามมากกว่า
โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานราคาถูก ส่วนจะย้ายมาลงทุนในไทยก็เป็นไปได้ยากเพราะแรงงานไทยแพงเมื่อเทียบกับเวียดนาม
ประกอบกับไทยมีมาตรการดึงดูดกลุ่มนักลงทุนมาลงทุนด้วยส่วนใหญ่เน้นอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสูง
ปี 2563 กลุ่มนักลงทุนจากเกาะฮ่องกงจะเข้ามามีบทบาทสำคัญในโครงการอีอีซี
ไม่แพ้กลุ่มนักลงทุนจากจีนแผ่นดินใหญ่ภายหลังจาก แคร์รี หล่ำ ผู้บริหารสูงสุดเขตบริหารพิเศษฮ่องกง
สาธารณรัฐประชาชนจีน เข้าพบ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม,สมคิด
จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี รวมทั้งทีมเศรษฐกิจครม.เมื่อวันที่ 29
พ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการตอกย้ำว่าผู้บริหารสูงสุดเขตบริหารพิเศษฮ่องกงพร้อมที่จะสนับสนุนกลุ่มนักธุรกิจฮ่องกงมาย้ายฐานมาลงทุนในไทยเพื่อหลีกเลี่ยงม็อบต้นที่ยังไม่เห็นทางลงรอยกัน
ดังนั้นการสนับสนุนนักลงทุนจากฮ่องกงมาลงทุนในไทยมีโอกาขยับขยายธุรกิจและเข้าถึงโอกาสทางเศรษฐกิจในภูมิภาคอาเซียนและกลุ่มชาติ CLMVT
ได้มากกว่า
ขณะเดียวกันรัฐบาลฮ่องกงพร้อมร่วมมือกับรัฐบาลไทย
เร่งรัดการเชื่อมโยงเชิงยุทธศาสตร์เพื่อให้เห็นผลเป็นรูปธรรม อาทิ
การเชื่อมโยงระหว่างนโยบายการพัฒนาของไทย ประกอบด้วย ประเทศไทย 4.0 EEC และ
“Connecting the
Connectivities” กับข้อริเริ่ม “หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง” (Belt and Road Initiative: BRI) ของจีน
ให้สอดคล้องกับ Greater Bay Area ซึ่งฮ่องกงมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนไปข้างหน้า ตลอดจน
การส่งเสริมความร่วมมือเศรษฐกิจใหม่ SMEs Start-ups การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์
และการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้านการวิจัยฯ
คาดว่าภายในปี 2563 กลุ่มทุนจากฮ่องกงจะกลายเป็นอีกนักลงทุนมหาอำนาจการลงทุน ในโครงการอีอีซีต่อจากจีนแผ่นใหญ่ แม้ว่าความขัดแย้งทางการเมืองในเกาะฮ่องกงลากยาวมานานกว่า 6 เดือนอาจจะยุติลงแบบเบ็ดเสร็จ แต่นักธุรกิจในเกาะฮ่องกงยังมองว่าสถานการณ์ยังไม่แน่นอน เพื่อลดความเสี่ยงบรรดานักลงทุนจากเกาะฮ่องกง เลือกจะย้ายฐานการผลิตไปยังต่างประเทศมากกว่าจะอยู่แบบเดิม เนื่องจากสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองที่ยังไม่มีความแน่นอน