ปรับตัวอย่างไร ถ้าการทำธุรกิจบน Facebook นั้นไม่ง่ายอีกแล้ว
ดูเหมือนเฟซบุ๊กจะเผชิญการทดสอบอีกครั้ง ซึ่งผลจากการรณรงค์ต่อต้านการเหยียดผิว
Black Lives Matter ทำให้เกิดการรณรงค์ต่อต้านเนื้อหาที่มีวาทะสร้างความเกลียดชัง
(Hate Speech) ใน Facebook ด้วยแฮชแท็ก #StopHateForProfit หยุดยั้งการแสวงกำไรจากความเกลียดชัง ซึ่งล่าสุดแบรนด์ยักษ์ใหญ่สัญชาติอเมริกันหลายรายต่างมีนโยบายไม่ทำการตลาดในแพลตฟอร์มของเฟซบุ๊กตลอดจนในอินสตาแกรมอีกต่อไป ซึ่งในปีที่ผ่านมาเฟซบุ๊กมีรายได้โฆษณาจากทั่วโลกถึง
69,700 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณราว 2.15 ล้านล้านบาท
อย่างไรก็ตามหากเฟซบุ๊กไม่มีการปรับเปลี่ยนในทางใดทางหนึ่ง คาดว่ากลุ่มบริษัทยักษ์ใหญ่ต่างทยอยบอกลาการทำการตลาด ไม่ซื้อโฆษณาในเฟซบุ๊กอีกหลายรายจนกระทบต่อรายได้ และสุดท้ายเฟซบุ๊กอาจมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
สำหรับธุรกิจไทย เฟซบุ๊กกลายเป็นเครื่องมือช่วยในการทำธุรกิจที่ถูกเลือกใช้มานานจนกลายเป็นความเคยชิน
ไม่ว่าแบรนด์น้อยแบรนด์ใหญ่ล้วนหันเข้ามาให้ความสำคัญกับแพลตฟอร์มเฟซบุ๊ก
เพื่อสร้างการรับรู้ไปพร้อมกับการขายสินค้า ด้วยผลตอบรับที่ได้จากการใช้เฟซบุ๊กในช่วงเริ่มต้นนั้นให้ผลดีเกินคาด
ทั้งยังทำให้เกิดลูกค้าหน้าใหม่ๆ เข้ามาภายใต้ต้นทุนการจัดการที่ถูกและรวดเร็ว
จนทำให้เกิดเศรษฐีหน้าใหม่ขึ้นมาจากการขายของหรือทำธุรกิจบนเฟซบุ๊กหลายคน
แต่ยิ่งประสบความสำเร็จบนแพลตฟอร์มนี้มากเท่าไหร่
จะยิ่งทำให้เสพติดการใช้ไปโดยไม่รู้ตัวจนไม่ได้มองหาลู่ทางเผื่อไว้ ถ้าหากว่าวันหนึ่งข้างหน้าเฟซบุ๊กจะพึ่งพาไม่ได้อีกต่อไป
และการทำตลาด สื่อสาร หรือขายสินค้าบนแพลตฟอร์มเฟซบุ๊กไม่ได้ง่ายดายเหมือนที่เคยเป็นมาอีกแล้ว
ดังสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบันที่ทำให้ผู้ประกอบการหลายรายต้องปรับตัว เมื่อ มาร์ก เอลเลียตซักเคอร์เบิร์ก
(Mark Elliot
Zuckerberg) สั่งปรับลด New Feed ของเพจและเฟซบุ๊กส่วนตัว
เพื่อคัดกรองโพสต์ที่ตรงกับความสนใจของผู้ใช้งาน ลด Traffic ที่ไม่ตรงกับสิ่งที่ผู้ใช้งานสนใจลง ที่มองว่าเป็นการคงผู้ใช้งานไว้ไม่ให้หนีหายไปอูยู่ในแพลตฟอร์มอื่น
โดยโพสต์ที่ไม่มีการคอมเม้นท์หรือผู้ใช้งานไม่ได้มีส่วนร่วมจะถูกลดการมองเห็นลงไป
และให้ความสำคัญกับเนื้อหาที่มีประโยชน์มากขึ้นเกิดขึ้นมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2018 ทำให้ผู้ประกอบการที่ใช้เฟซบุ๊กในการขับเคลื่อนธุรกิจ
ต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ โดยหันมาขับเคลื่อนเพจด้วยการผลิตคอนเทนต์ที่มีประโยชน์ ตรงกลุ่มเป้าหมาย
และซื้อโฆษณาจากเฟซบุ๊กเพิ่มขึ้นแทน เพื่อให้เกิดการมองเห็นมากขึ้น ดังนั้นการขับเคลื่อนธุรกิจโดยอาศัยเฟซบุ๊กจึงไม่ง่ายเหมือนเก่าเมื่อ
1. ค่าโฆษณาเริ่มสูงขึ้นหลายเท่าตัว
2. มีอัตราการแข่งขันสูงขึ้นแบบคูณ 10
3. ผู้บริโภคเริ่มหันไปใช้แพลตฟอร์มอื่นกันมากขึ้น
รวมถึงหันไปใช้บริการซื้อขายสินค้าผ่าน Marketplace อื่นๆ แทนการซื้อขายบนเฟซบุ๊ก ที่มีความเสี่ยงต่อการถูกหลอกถูกโกงมากกว่าใน
marketplace
แค่เพียงเหตุผลดังกล่าวก็ทำให้ต้องคิดหาทางออกให้กับธุรกิจต่อไปได้แล้วว่า
จะทำอย่างไรกับสถานการณ์แบบนี้ หากไม่พึ่งพาการตลาดจากเฟซบุ๊ก แล้วแพลตฟอร์มไหนถึงจะเวิร์ก
ซึ่งตามหลักความเป็นจริงแล้ว ไม่มีแพลตฟอร์มไหนที่จะเอื้อประโยชน์ให้เราเข้าไปใช้งานได้โดยไม่ต้องเสียอะไรอีกแล้วในตอนนี้
แม้แต่การจะหนีเข้าไปพึ่งพาแพลตฟอร์มอย่าง
Amezon, Lazada หรือ Shopee ที่เคยให้ผลลัพธ์เป็นยอดขายที่ดีงามก็จะไม่ดีงามอีกแล้ว
ด้วยมีจำนวนคู่แข่งมาก โดยที่สินค้าที่นำเสนอขายไม่ได้มีความแตกต่างกัน
สิ่งที่ผู้ลงเล่นใน Marketplace ใช้ตีคู่แข่งก็คือการใช้ราคาเป็นตัวดึงดูดลูกค้า
จึงเกิดสงครามการขายตัดราคากันอย่างเข้มข้น และเมื่อมีการแข่งขันกันด้านราคา
ผลที่ตามมาคือไม่สามารถทำกำไรได้มาก ผลประกอบการจึงลดลงตามไปด้วย
ภายใต้ข้อจำกัดดังกล่าว
การปรับกลยุทธ์ออนไลน์เพื่อรับมือกับสิ่งที่อาจเกิดขึ้นก็เป็นสิ่งจำเป็น โดยสามารถเตรียมการปรับตัวรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว
ดังนี้
1. สร้างแบรนด์ให้แก่ธุรกิจตัวเอง :
การสร้างแบรนด์เป็นจุดเริ่มต้นของการทำธุรกิจ เป็นการยกระดับจากการเป็นพ่อค้า
แม่ค้า แบบซื้อมาขายไป มาสู่การเป็นผู้ประกอบการรายย่อย
โดยอาจจะเริ่มจากการสร้างแบรนด์แบบ Personal
Branding ในกรณีที่มีฐานเพื่อนหรือผู้ติดตามมาก เพื่อสร้างภาพจำให้แบรนด์เป็นตัวสื่อสารที่ดี
เมื่อมี Personal Branding ดี ก็จะสามารถต่อยอดไปสู่สินค้าอย่างอื่นได้ ทั้งนี้ก็เพื่อให้เกิดการจดจำและความแตกต่างของสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ในแบบเดียวกัน
โดยมีแบรนด์เป็นตัวกำหนด
2. สร้างเว็บไซต์ใช้ช่องทางของตัวเอง : ต่อไปนี้ถ้าเฟซบุ๊กทำให้คนเข้าถึงสินค้าหรือแบรนด์ได้ยาก
การปูทางหาช่องให้ตัวเองเป็นสิ่งจำเป็น หากธุรกิจยังไม่มีเว็บไซต์จงเรียนรู้ที่จะมีหรือสร้างมันขึ้นมา
แล้วทำคอนเทนต์ SEO ดึงดูดคนผ่านช่องทาง
google อีกทั้งธุรกิจออนไลน์ที่มีเว็บไซต์รองรับ จะสร้างความน่าเชื่อถือทำให้ผู้บริโภคเกิดความเชื่อมันได้มากกว่า
3. สร้างปฏิสัมพันธ์อันดีกับลูกค้า : หมดยุคการขายแบบปิดการขายในคราวเดียวแล้วจบกลับบ้านแล้ว
ในเมื่อการขายแบบให้เกิดการบอกต่อๆ กันไป
แบบปากต่อปากคือการโฆษณาและการตลาดที่ทรงพลังและคาดหวังถึงผลลัพธ์อันดีได้มากกว่า นอกจากนี้ยังทำให้เกิดการเชื่อมลึกระหว่างแบรนด์กับลูกค้า
ซึ่งเมื่อผลลัพธ์ของสินค้าเป็นที่น่าพอใจ
และการมีปฏิสัมพันธ์อันดีทำให้เกิดความรู้สึกในเชิงบวก ก็จะทำให้เกิดการกลับมาซื้อซ้ำ
4. ใส่ใจลูกค้าเก่า : ลูกค้าเก่าจัดเป็นฐานอันดีในการทำตลาด
เนื่องจากได้ทำความรู้จักกับแบรนด์ ผ่านการรับรู้เรื่องแบรนด์จากประสบการณ์ที่ได้เคยใช้สินค้ามาแล้ว
ดังนั้นจงให้ความสำคัญกับการเก็บบันทึกฟีดแบ็ค คำแนะนำหลังการขายของลูกค้าให้มาก
เพราะคำติชมของลูกค้าจะนำมาสู่การปรับใช้พัฒนาสินค้าได้ ตอบโจทย์ตรงจุดกว่าเดิม
คราวนี้หากจะกระตุ้นการซื้อจากฐานลูกค้าเก่าด้วยโปรโมชั่นที่ยั่วใจก็ไม่ยากอีกแล้ว
ทั้งนี้การพึ่งพาช่องทางการตลาดที่หลากหลาย ไม่จำกัดเฉพาะแพลตฟอร์มเดียว สามารถช่วยให้ธุรกิจลดความเสี่ยงจากความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้ ที่สำคัญการมีเว็บไซต์ของตัวเอง คือหลักประกันที่ดีที่สุดในการทำการตลาดออนไลน์
สมัครสินเชื่อ >>สินเชื่อธุรกิจบัวหลวง SMEs ดีแน่นอน<<