มีแนวโน้มว่า Work Form Home จะกลายมาเป็นรูปแบบการทำงานที่บริษัท ที่มีความพร้อมสำหรับเรื่องนี้จะนำมาปรับใช้กับธุรกิจ เปลี่ยนชีวิตการทำงานของพนักงานตลอดไปในอนาคตอันใกล้ หลังจากได้ทดลองประเมินวัดผลกันไปแล้วช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา ซึ่งพบว่าการให้พนักงานทำงานที่บ้านนั้นได้ประสิทธิภาพเทียบเท่ากับทำงานในออฟฟิศ และลดค่าใช้จ่ายของบริษัทในส่วนที่ใช้จัดการกับบุคลากรในหน่วยงานลงได้ ภายใต้การใช้เทคโนโลยีและโปรแกรม HR ควบคุมการทำงานของพนักงานแทนระบบงานฝ่าย HR หรือการตอกบัตรลงเวลาเข้า-ออกในการทำงาน
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
Work From Home กระทบต่อสุขภาพจิตคนทำงานระดับบริหาร-ปฏิบัติการณ์
ปกติแล้วพนักงานระดับผู้บริหารขององค์กร ก็มีบทบาทหน้าที่ความรับผิดชอบมากมายชวนปวดหัววุ่นวายในแต่ละวัน
จนสะสางงานไม่ทันกันอยู่แล้วในออฟฟิศแบบปกติ เพราะต้องดูแลทั้งผลลัพธ์ ภาพรวม
ทีมงาน แผนปฏิบัติการ ต้องประชุมในหลายภาคส่วน หลายฝ่าย
ตั้งแต่ทีมผู้บริหารระดับแนวหน้าของบริษัท ทีมผู้บริหารงานประจำฝ่าย
ทีมงานในฝ่ายหรือแผนก/ภูมิภาคของตนเอง รวมไปถึงในส่วนของลูกค้า
หุ้นส่วนที่ต้องดูแลรับผิดชอบด้วย วันๆ
เวลาที่ใช้จึงหมดไปกับการประชุมเสียเป็นส่วนใหญ่ แล้วในเมื่อต้อง Work
From Home ในรูปแบบ VDO Call กับกรุ๊ปกลุ่มคนทำงานที่ต้องเกี่ยวข้องมากมายจะวุ่นวายขนาดไหน
กินเวลาล่วงไปเท่าไหร่ คงไม่ต้องแจกแจงให้มากความ
เพราะจากการสัมภาษณ์พูดคุยกับพนักงานชั้นบริหารที่ต้อง Work
From Home ตั้งแต่เดือนมีนาคมมาจนถึงปัจจุบันและคาดการณ์ว่าจะยาวต่อเนื่องไปในอนาคต
ส่วนใหญ่จะประสบกับปัญหาผ่านเสี่ยงบ่นเบาๆ เหล่านี้
“หลอนกับ VDO Call ไปเลย”
“ใช้ชีวิตติดจอตลอด”
“ทำงานไม่เป็นเวลา ทำงานหนักกว่าตอนอยู่ในออฟฟิศอีก”
“สรุปคือ ต้องประสานงาน
จัดการงานนู่นนี่นั่นกว่าจะจบก็ 2 ทุ่ม จึงจะมีเวลาได้ทำงานของตัวเอง”
“ไม่มีเวลาเป็นของตัวเองเลย ต้องคอย Check In
– Check Out ถ่ายรูปทีม Fix สถานที่ ไปไหนไม่ได้แม้แต่วันหยุด
ก็ยังมีสายงานเรียกเข้ามา”
“ไม่ได้ออกไปไหนเลย ชีวิตมีแต่งาน อุดอู้ หดหู่มาก”
“4 ทุ่มแล้วนายยัง VDO Call มาให้ช่วยทำสไลด์
พรีเซ้นต์อยู่เลย”
“ชีวิตวุ่นวายมาก เหนื่อยหนักกว่าเดิม”
สาเหตุที่ทำให้เกิดเสียงบ่นเหล่านี้ ไม่ใช่ว่าคนทำงานไม่มีประสิทธิภาพ
แต่ระบบการทำงาน วิธีการทำงานและเทคโนโลยีต่างๆ
ที่นำมาใช้ยังเป็นเรื่องใหม่ของคนในสังคม การจัดการเรื่องต่างๆ ในชีวิตจึงไม่ลงตัวจนเสียสุขภาพจิต
และทำให้รู้สึกไม่มีความสุขในการทำงาน แต่เมื่อเวลาผ่านไปมีการปรับตัวได้ชินกับรูปแบบและใช้เทคโนโลยีได้คล่อง
ก็จะทำให้ความเครียด ความกดดันต่างๆ คลี่ลายลงไป
แต่ก็ใช่ว่าจะแยกชีวิตส่วนตัวออกจากการทำงานได้ง่าย
เพราะต่อจากนี้ไปเรื่องของงานจะอยู่ติดกับตัวเราไปตลอด 24 ชั่วโมง
แบบที่ไม่สามารถจะเอาแขวนไว้หน้าประตูบ้านหลังเลิกงานได้ ซึ่งต่อไปนี้เป็นคำแนะนำเพื่อนำไปปรับใช้รองรับการทำงานที่บ้านได้อย่างมีประสิทธิภาพ
และทำให้เกิดความสุขแบบไม่เสียสุขภาพจิต
8 วิธีปรับสมดุลชีวิตและทำงาน
Work From Home แบบไม่เสียสุขภาพจิต
1. กำหนดตารางชีวิตให้ชัดเจน : การกำหนดตารางชีวิตแบบขีดเส้นเวลาในแต่ละวันใน 1
สัปดาห์
จะทำให้ตัวเองเห็นภาพได้ชัดเจนว่าในแต่ละวันมีเรื่องอะไรให้ต้องทำมากน้อยแค่ไหน
โดยอาจแปะไว้บนบอร์ด เตือนความจำเหมือนตารางเรียน
เพียงแต่ในตารางนี้จะมีทั้งเรื่องส่วนตัวและเรื่องงานที่ต้องทำ
และจงปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดห้ามหย่อนวินัยโดยเด็ดขาด
เพื่อสร้างความเคยชินให้ตัวเอง เช่น
04.00 - 06.00 ตื่นนอน เก็บกวาดบ้าน ออกกำลังกาย
06.00 - 07.30 อาบน้ำ แต่งตัว ทานอาหารเช้า
07.30 – 08.30 เตรียมตัว เตรียมเอกสาร ซ้อมพรีเซ้นต์
พร้อมเริ่มงาน
2. กำหนด Time of limit ในการทำงาน : การกำหนดเวลาการทำงานให้ผู้ร่วมงานทราบอย่างชัดเจน
จะทำให้เกิดขอบเขตความเกรงใจ มีพื้นที่ให้ชีวิตส่วนตัวในประตูที่ปิดตาย
เพราะนี่คือกฎที่ต้องเกรงใจหรือให้ความเคารพ
และจงเคร่งครัดเวลาปกติให้เหมือนกับช่วงเวลาเคอร์ฟิวส์ โดยต้องแจ้งกับหัวหน้าผู้บังคับบัญชาทีมงาน
และผู้ติดต่อได้ทราบในพื้นที่สาธารณะ อาจจะเป็นในไลน์กลุ่มหรือสถานะบนไลน์ บนเฟสบุ๊ค
เช่น เวลางาน 08.00-18.00 ติดต่องาน/ตามงานกรณีเร่งด่วนกรุณาโทรที่ 01-0005-0179
วิธีนี้จะทำให้คนที่ต้องการติดต่องานกับเราเกิดความเกรงใจ
และติดต่องานตามเวลาที่กำหนด เพราะการยอมให้การติดต่อเรื่องงานเกิดขึ้นในเวลาส่วนตัว
หรือเวลาที่ต้องการจะพักผ่อน คือการบอกคนเหล่านั้นกลายๆ ว่า
“จะติดต่อฉันเมื่อไหร่ก็ได้ ฉัน Standby ตลอด 24 ชม.”
และถ้าไม่ใช่งานเร่งด่วนก็จงอย่าได้วิตกกังวลว่างานจะไม่แล้วเสร็จ
เพราะขึ้นชื่อว่างานประจำมันก็ไม่ใช่สิ่งที่จะให้สำเร็จได้ภายในวันเดียว
เพราะถ้าทำให้สำเร็จได้ภายในวันเดียว เขาจะจ้างเรามาทำประจำเพื่ออะไร?”
3. Offline/Log out ออกจากระบบทุกครั้ง : หากการ Walk
In เข้าออฟฟิศ มีระบบเวลาเข้า-ออกที่แน่ชัด การทำงานแบบ Work From Home ก็ควรมีเวลาเข้า-ออกงานที่ชัดเจน ดังนั้นหากไม่ได้ทำงานด้านสายด่วนฉุกเฉินแบบที่ต้อง
Standby
รอสายฉุกเฉินเรียกเข้าเหมือนหน่วยกู้ภัย ดับเพลิง รถพยาบาล ฯลฯ
ก็ควรปรับโหมดการทำงานเป็น Offline และ Log out ออกจากระบบทุกครั้งเมื่อหมดเวลางาน
ซึ่งการอยู่ในโหมด Offline และการ Log Out จะทำให้ Limit Time ในข้อ 2 ชัดเจนขึ้น
4. วินัยต้องไม่หย่อน : งานที่ต้องทำให้เสร็จในเร็ววันหรืองานเร่งด่วนควรทำให้เสร็จ
และทำงานหน้าจอที่บ้านอย่างจริงจัง ให้เหมือนการนั่งทำงานที่ออฟฟิศและเวลาเข้า-ออกงาน
เพราะเมื่อใดที่วินัยหย่อนนอกจากจะทำให้งานการคั่งค้าง เสร็จไม่ทันกำหนด
กินเวลาที่ควรจะเป็นส่วนตัวไปมาก จนกลายเป็นว่าทำงานเสียหายไปจนถึงเสียงานได้
5. สร้างบรรยากาศการทำงานให้เหมาะแก่การทำงาน : เมื่อไม่ได้เข้าไปอยู่ในออฟฟิศที่อบอวลไปด้วยบรรยากาศของการทำงาน
ก็ควรจัดแต่งเตรียมสถานที่ทำงานที่บ้านให้เหมาะสมต่อการทำงานมากกว่าการพักผ่อน
หากมีพื้นที่มากพอควรจัดให้มีห้องทำงานแยกต่างหาก มีที่นั่งโต๊ะทำงานเหมาะสม
สะดวกสบาย จัดแสงสว่างให้เพียงพอ มีอากาศหมุนเวียน และถ้ามีพื้นที่ไม่มากพอ การทำงานในมุมที่ห่างจากที่นอนหรือหาฉากมาปิดกั้นระหว่างเตียงกับโต๊ะทำงานจะช่วยได้มาก
ทำให้ห่างไกลจากอาการหลังอ่อนอยากเอนตัวลงที่นอนได้ดี
6. มีอุปกรณ์การทำงานให้มากกว่า 1 : หากในการทำงานนั้นจำเป็นต้องติดต่อคนหลายกลุ่ม
บนหลากแพลตฟอร์มเป็นประจำ การเพิ่มอุปกรณ์ที่มีหน้าจอแสดงผลเพื่อรองรับการ VDO call หรือการติดต่องานต่างๆ
จะเป็นสิ่งที่ทำให้สามารถจัดการชีวิตได้ง่ายไม่ชวนปวดหัว จากการต้องสลับหน้าจอไปมา
หรืองมหาข้อมูลต่างๆ บนคอมหรือมือถือเพียงเครื่องเดียว
นอกจากนี้ยังเป็นการเพิ่มช่องทางสำรองให้ได้ในวันที่คอม/มือถือหลักเสีย
ไม่สามารถใช้งานได้ตามปกติ เพราะในชีวิตการทำงานแบบ Work Form Home จริงๆ
นั้นไม่มีเจ้าหน้าที่ฝ่าย IT เข้ามาช่วยแก้อาการต่างๆ ให้นะ
7. External Disc และ UPS เป็นของจำเป็น : หากไม่อยากให้งานและคอมพิวเตอร์พังแบบกู่ไม่กลับ
การหมั่น Back Up ข้อมูลสำรองไว้ใน External Disc จะช่วยให้ไม่ต้องมานั่งร้องไห้เสียใจ
เสียเวลากับงานชิ้นเดิมที่อาจคิดใหม่ทำใหม่ได้ไม่เหมือนเดิม และการมี UPS
(Uninterruptible Power Supply) หรือแบตเตอรี่สำรองไฟไว้ใช้งานในสถานการณ์ที่ฝนตก
ไฟดับบ่อย จะช่วยยืดอายุให้คอมฯ ไม่พังไวและยังมีเวลาเซฟงานได้ทัน
8. แต่งตัวหล่อสวยดูดีออกนอกบ้านบ้าง : ต่อไปนี้จะไม่ได้ต้องตื่นแต่เช้ามาอาบน้ำแต่งหน้าทำผม ปรับลุคให้ดูดี หล่อ สวยเนี้ยบไปออฟฟิศอีกแล้ว สำหรับมนุษย์ป้าคงชอบเพราะประหยัดค่าใช้จ่ายเรื่องนี้ลงไปได้มาก แต่สำหรับแฟชั่นนิสต้า คงรู้สึก หดหู่ เหี่ยวเฉาไม่สดชื่นเป็นแน่หากไม่ได้แต่งหล่อสวยออกไปไหน ดังนั้นถ้าตลอดวันทำงานต้องแต่งตัวอยู่บ้านธรรมดาแล้วล่ะก็ ให้เปลี่ยนมาแต่งตัวจัดหนักออกจากบ้านในสถานการณ์ที่ธรรมดาเป็นการเพิ่มสีสันให้ชีวิตดูบ้าง แล้วจะได้รู้ว่าการแต่งตัวไปเดินตลาดสด ไปตลาด เดินห้าง ไปไปรษณีย์นั้นทำให้คนรอบข้างว้าวได้แค่ไหน
เทคนิคใช้ LINE ให้มีประสิทธิภาพช่วง Work from Home
เหตุผลที่ควรส่งเสริมให้พนักงาน Work from Home