"โรคซึมเศร้า"
เป็นเรื่องที่น่าห่วงกังวลมากกว่าความร้ายแรง เพราะถึงจะไม่ใช่โรคติดต่อ
แต่สามารถส่งผลร้ายถึงขั้นเสียชีวิตได้จากการปลิดชีวิตตัวเอง
และเกิดขึ้นได้บนการใช้ชีวิตแบบปกติทั่วไป ซึ่งกำลังแพร่ระบาดในสังคมไทยปัจจุบัน
จากการได้รับผลกระทบกระเทือนทางจิตใจ ที่เกิดจากความสูญเสีย ความผิดหวังสั่งสมอัดแน่นอยู่ภายใน
จนกลายเป็นความรุนแรงจนตกอยู่สภาวะซึมเศร้าและกลายเป็นโรคซึมเศร้าในที่สุด
ศ.นพ.มาโนช หล่อตระกูล คณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ระบุว่า โรคซึมเศร้า
เป็นความผิดปกติทางการแพทย์ ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการดูแลรักษาเพื่อให้อาการทุเลา
ต่างจากภาวะอารมณ์เศร้าตามปกติธรรมดา ที่ถ้าเหตุการณ์ต่างๆ รอบตัวคลี่คลายลง
หรือมีคนเข้าใจเห็นใจ อารมณ์เศร้านี้ก็อาจหายได้
ผู้ที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้านอกจากมีอารมณ์ซึมเศร้าร่วมกับอาการต่างๆ แล้ว
การทำงานหรือการประกอบกิจวัตรประจำวันก็แย่ลงด้วย
คนที่เป็นแม่บ้านก็ทำงานบ้านน้อยลงหรือมีงานบ้านคั่งค้าง
คนที่ทำงานนอกบ้านก็อาจขาดงานบ่อยๆ จนถูกเพ่งเล็ง
เรียกว่าตัวโรคทำให้การประกอบกิจวัตรประจำวันต่างๆ บกพร่องลง โดยมีสาเหตุมาจากรรมพันธุ์
การผลิตสารเคมีในสมองและลักษณะนิสัยที่เป็น
ทั้งนี้เพื่อเป็นการป้องกันความเสี่ยงที่อาจทำให้ตัวเองตกสู่สภาวะซึมเศร้า ที่ต้องใช้ระยะเวลาในการบำบัดให้หายดี และทำให้สมรรถภาพในการทำงานและการรับมือกับเรื่องต่างๆ ในชีวิตลดลง การรับมือป้องกันกับโรคจึงเป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะทำให้หนีห่างจากสภาวะซึมเศร้า ที่สามารถเข้ามาเยือนเราได้ทุกเมื่อด้วย 10 วิธี ดังนี้
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
1. ฝึกคิดบวกให้มาก
โดยไม่ต้องไปสนใจใครจะมองว่าเราเดินเล่นอยู่ในทุ่งลาเวนเดอร์ เพราะมีคำยืนยันทางการแพทย์อย่างเป็นทางการผ่านลายลักษณ์อักษร ว่าหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคซึมเศร้า
คือการคิดลบกับตัวเอง สิ่งรอบข้าง คนอื่น จนทำให้ชีวิตนี้เต็มไปแต่เรื่องแย่ๆ และกลายเป็นแหล่งสะสมพลังงานด้านลบ
ที่จะทำให้เกิดผลกระทบต่อจิตใจ ไปจนทำให้ขาดความเชื่อมั่นในตัวเองทุกด้าน
2. บนโลกใบนี้ ไม่เคยมีอะไร
แทนอะไรไม่ได้ ความผิดหวัง
ความไม่ได้อะไรในสิ่งที่ต้องการ หรือแม้แต่การสูญเสียในสิ่งที่เคยมี เป็นอีกหนึ่งฉนวนเหตุที่ทำให้เกิดโรคซึมเศร้า
ซึ่งมีผลมาจากการยึดติด ถือมั่น ในสิ่งที่เคยมีหรืออยากได้มา ดังนั้นการเป็นคนรักเดียวใจเดียว
หรือมีจิตมุ่งมั่นอันแรงกล้า
เพื่อจะทำในสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้สำเร็จหรือสร้างความสัมพันธ์ให้ยั่งยืนเป็นเรื่องที่ดี
แต่ถ้าวันหนึ่งพลาดหวังขึ้นมาก็ต้อง Move On และก้าวต่อไปให้เร็ว เพราะการเฉื่อยชาเชื่องช้า
ไม่กล้าเริ่มต้นใหม่นั้นมีแต่จะทำให้เราจมปลักสู่พลังงานด้านลบ
และไม่สามารถค้นพบสิ่งใหม่ หรือกฎของโลกที่สำคัญในข้อที่ว่า
“เมื่อมีสิ่งใดที่เสียไป ย่อมมีสิ่งใหม่เข้ามาทดแทนที่กันได้เสมอ”
3. ศาสนาพุทธจะช่วยทำให้อยู่บนความเป็นจริงมากขึ้น
ทุกคำสั่งสอน
บทบัญญัติของทุกศาสนาหรือทุกความเชื่อเป็นสิ่งดีงามเสมอกันหมด หากแต่ทางของพุทธะ
คือหนทางช่วยพิจารณาชีวิตให้อยู่กับความเป็นจริง บนความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป
ไม่มีอะไรจีรังถาวร โดยมุ่งเน้นที่กฎแห่งการกระทำเป็นที่ตั้ง โดยมีสติกำกับชีวิต
ซึ่งจะช่วยรู้ทันอารมณ์ที่เกิดขึ้นหรือกำลังตั้งอยู่ และปลดปล่อยได้ทัน ก่อนที่จะหลงติดอยู่กับผลของมัน
ตามหลักโลกธรรม 8 ดังนั้นคำสอนของพระศาสดาของศาสนาพุทธ
จึงเป็นหนทางความเป็นจริงสู่การหลุดพ้น ที่จะช่วยป้องกันตนให้ไม่ไปติดกับดักของการเข้าสู่โรคซึมเศร้าได้อย่างแท้จริง
4. พักผ่อนให้เพียงพอ
เพื่อสุขภาพที่ดี การพักผ่อนให้เพียงพอเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะทำให้ร่างกายมีสุขภาพแข็งแรงดี
มีเวลาฟื้นฟู และซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ จากการใช้ร่างกายทำงานหนักตลอดวัน ดังนั้นการพักผ่อนน้อย
ไม่ให้ความสำคัญกับช่วงเวลาของการพักผ่อนทางกาย จึงก่อให้เกิดโรคได้มากมาย อาทิเช่น
หวัด ภูมิแพ้ เบาหวาน มะเร็งลำไส้ โรคอ้วน ฯลฯ
5. ออกกำลังกายแบบใช้ออกซิเจน การออกกำลังกายแบบ Aerobic
exercise ตั้งแต่เบาจนถึงหนักต่อเนื่องเป็นประจำ
เช่น การเต้นแอโรบิก ชกมวย เล่นเทนนิสแบบเดี่ยว ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน ปีนเขา วิ่ง
เดิน เป็นกิจกรรมที่ทำให้ร่างกายต้องการออกซิเจนเข้าไปช่วยสร้างพลังงาน
ซึ่งให้ประโยชน์ ในการทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรง หายใจสะดวก เพิ่มความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อหัวใจ
เพิ่มจำนวนเซลล์เม็ดเลือดแดง ลดความดันโลหิต กระตุ้นให้เลือดไหลเวียนดี
และช่วยปรับสุขภาพทางใจ ลดความเครียดและการเกิดความซึมเศร้า
พร้อมกับเพิ่มสมรรถภาพทางความคิดอ่านให้ดียิ่งขึ้นด้วย
6. ทำสมาธิ ช่วยให้จิตนิ่ง
สุขภาพจิตดี การทำสมาธิ
เป็นวิถีปฏิบัติที่เรียบง่าย ทำได้ทุกที่ทุกโอกาส
สามารถเข้าถึงได้ทุกเพศวัยและเป็นของกลาง ที่ทุกศาสนาความเชื่อเข้าถึงได้
มีประโยชน์มากด้านการส่งเสริมสมรรถภาพทางจิตใจ ช่วยให้จิตสงบ เยือกเย็นลง
มีความโปร่ง โล่ง สบาย ช่วยพัฒนาความจำให้ดีขึ้นได้ มีสติกำกับชีวิตได้ดีขึ้น
ทำอะไรคิดอะไรได้รวดเร็ว ถูกต้อง เลือกคิดแต่ในสิ่งที่ดี ช่วยคลายเครียด
คลายความกังวล ทำให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และหนีห่างจากโรคซึมเศร้าได้ดี
7. ใส่ใจตัวเอง
และภาพลักษณ์ให้ดูดีอยู่เสมอ แม้ว่าการทำอะไรตามใจตัวเองจะเป็นสิ่งดี
แต่การสร้างภาพลักษณ์และใส่ใจตัวเองดีกว่าหลายเท่าตัว
เพราะในยุคที่สื่อโซเชียลมีเดียมีอิทธิพลต่อชีวิตผู้คน
การสร้างภาพปั้นตัวตนให้ดูดี ดึงดูดใจ จะทำให้เกิดความรู้สึกด้านดีแก่ตัวเองได้มากกว่า
โดยที่ไม่ต้องไปทำศัลกรรมปั้นแต่งให้หล่อสวย ก็สามารถมีตัวตนที่ดึงดูดใจแฟนคลับได้ง่ายจากเสน่ห์ด้านอื่นที่มี
บนพื้นฐานที่เริ่มต้นมาจากการหันมาให้ความสำคัญกับตัวเอง ใส่ใจตัวเองให้ดูดีอยู่เสมอ
ตามแบบฉบับไลฟ์สไตล์ของตัวเอง
8. สะสมเงินทองและสร้างแหล่งรายได้ให้ตัวเอง
เรื่องการเงินเป็นสิ่งจำเป็นสำคัญในการใช้ชีวิต
และมีอิทธิพลมากพอที่จะทำให้คนเรามีความหยิ่งผยอง จนเผลอใช้อำนาจทางการเงินข่มเหง
รังแกผู้อื่นได้ และทำให้ผู้คนเกิดความหดหู่ เศร้าหมองได้จากความไม่มี หรือความสามารถในการหาเงินของคนๆ
หนึ่ง ล้วนทรงอิทธิพลต่อการใช้ชีวิตและจิตใจได้มากพอๆ
กับจำนวนเงินที่มีอยู่ในบัญชี ฉะนั้นการเก็บเงิน
หรือแม้แต่สร้างธุรกิจขึ้นมาได้ด้วยตัวเอง จึงเป็นสิ่งที่จะทำให้จิตใจคนเรามีฮึกเหิม
มีความสุข จิตเบ่งบาน เกิดความภาคภูมิใจในตัวเอง และทำให้ห่างไกลจากโรคซึมเศร้าได้มากไม่แพ้ข้อใดๆ
ที่กล่าวมา
9. เลือกทำแต่สิ่งที่รัก
ที่ชอบแบบไม่ต้องฝืนใจ เพราะเมื่อคนเรามีความสุข
สมองจะหลั่งสารเคมีแห่งความสุขที่ชื่อว่า เอ็นโดรฟิน (Endorphin)และ โดพามีน (Dopamine) ออกมา จึงทำให้รู้สึกผ่อนคลาย พึงพอใจ ไม่เป็นกำลังกังวล
เท่ากับการทนทำในสิ่งที่ตัวเองไม่รักไม่ชอบ แต่ก็ต้องฝืนทำต่อไป เพื่อเหตุผลใดๆ
ก็ดี ที่มีแต่จะบั่นทอนสุขภาพจิต เสี่ยงต่อการเป็นโรคซึมเศร้าได้ในอนาคต
ซึ่งการเลือกทำในสิ่งที่รักที่ชอบ จึงเป็นคำตอบให้คนเราหนีห่างจากโรคซึมเศร้าได้
ไปจนถึงการเลือกคบหาคนที่เขารักเรา ที่จะทำให้ลดความเสี่ยงจากความผิดหวัง
อกหักช้ำจากการไม่ได้รับความรักตอบแทนกลับมา
และแม้ว่าการเลือกรักคนที่รักเราจะฝืนใจในช่วงแรกๆ แต่ความรักเป็นพลังงานด้านที่ดี
เมื่อได้อยู่กับคนที่ให้ค่าความสำคัญในตัวตนที่เราเป็น
ก็จะทำให้ใจเกิดความปีติสุขได้เช่นกัน
10. รับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยโปรตีนเพียงอย่างเดียวในขณะท้องว่างหรือเป็นมื้ออาหารหลัก เพื่อเพิ่มสมดุลให้สารสื่อประสาทเซโรโทนิน (serotonin) ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทที่สัมพันธ์กับการเกิดโรคซึมเศร้า
มีส่วนช่วยให้รู้สึกเบิกบาน ผ่อนคลาย มีความมั่นใจในตัวเอง ลดความวิตกกังวล
โดยที่สารอาหารประเภทโปรตีนนั้น อุดมไปด้วยกรดอะมิโนทริพโตเฟนที่เป็นสารตั้งต้นของสารเซโรโทนินในปริมาณสูง
ที่สามารถเดินทางไปกับระบบเลือดสู่สมองได้
หากแต่ต้องทานกลุ่มโปรตีนเพียงอย่างเดียวในขณะท้องว่างหรือทดแทนมื้ออาหารหลัก เพื่อลดการแย่งกันเดินทางสู่สมองของสารอาหารอื่นๆ
แหล่งอ้างอิง
https://sites.google.com/site/karfiksmathibeuxngtn/