ธุรกิจกลุ่มสินค้าสัตว์เลี้ยงยังเป็นที่น่าจับตาในปัจจุบันจากอัตราการเติบโตที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้วยคนเลี้ยงสัตว์ส่วนใหญ่ ไม่ว่าในไทยหรือต่างประเทศจากที่เคยเป็น Pet Lover ได้กลายเป็น Pet Parent ความต้องการแสวงหาสิ่งที่ดีและสร้างความสุขมากที่สุดให้กับลูกๆ นั้น จึงกลายเป็นความต้องการที่มีมูลค่าสูง ผู้ประกอบการในตลาดกลุ่มนี้จึงจำเป็นต้องพัฒนาสินค้าและบริการให้สอดรับกับตลาด ดังนั้นการเรียนรู้จากประสบการณ์จริงของแบรนด์สินค้าที่ประสบความสำเร็จในการส่งออกสินค้ากลุ่มสัตว์เลี้ยงจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรพลาด
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
อัฐพล ศิริขจรกิจ เจ้าของแบรนด์ บาร์ฟบ็อกซ์ (BarfBox) อาหารสำหรับสัตว์เลี้ยง เปิดเผยว่า เริ่มต้นสร้างแบรนด์เมื่อ 3 ปีก่อน จากการพยายามหาวิธีแก้ปัญหาการเลี้ยงสุนัขที่มีราคาแพงในด้านต่างๆ
โดยเรื่องอาหารนั้นให้ความสนใจกับกลุ่มอาหารบาร์ฟ (BARF : Biological
Appropriate Raw Foods) ซึ่งเป็นที่นิยมอยู่แล้วต่างประเทศและรู้จักกันเพียงกลุ่มเล็กๆ
ในไทย ผ่านการพูดคุยและหาข้อมูลทางช่องทางออนไลน์
ซึ่งอาหารบาร์ฟทั่วไปเป็นอาหารดิบและสด เพื่อให้ใกล้เคียงกับการกินในแบบธรรมชาติที่ได้สารอาหารมากที่สุดสำหรับสัตว์เลี้ยง
แต่สภาพอากาศที่แตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ กลับทำให้เกิดเชื้อรา อาหารเสียเร็ว
ส่งผลต่อสัตว์เลี้ยง จึงทำการศึกษาและลองนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาใช้ จนกลายเป็นอาหารบาร์ฟแห้งสำเร็จรูปพร้อมทานในแบรนด์
บาร์ฟบ็อก (BARFBOX)
“หลังจากทำตลาดในประเทศมาได้สักระยะ
จึงมองหาตลาดต่างประเทศ จนถึงปัจจุบัน BARFBOX ได้ส่งออกไปยังประเทศต่างๆ
ในเอเชียมา 2 ปีแล้ว โดยลูกค้าหลักคือ มาเลเซีย, สิงคโปร์, อินเดีย, ฮ่องกง
และเกาหลีใต้ ด้วยจุดแข็งที่ต่างจากแบรนด์อื่น คือ สะอาด สะดวก ง่ายต่อการขนส่ง
และไม่ต้องใช้ตู้เย็นในการเก็บรักษา อีกทั้งการร่วมงานแสดงสินค้าที่จัดโดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศนั้น
ทำให้มีโอกาสได้พบปะพูดคุยกับลูกค้าและเป็นโอกาสให้เราได้นำเสนอสินค้า
พร้อมเข้าใจลูกค้าได้อย่างไม่รู้จบ ส่งผลดีต่อธุรกิจในการนำไปพัฒนาสินค้าใหม่ๆ
ที่ตอบโจทย์ตลาดนี้มากยิ่งขึ้น โดยลูกค้าต่างชาติที่ได้รู้จักกับแบรนด์เรา
มักจะถูกใจในความใส่ใจ คุณภาพ และความง่ายในการเก็บรักษา
และเป็นผลิตภัณฑ์ที่ตั้งใจคิดมาเพื่อสุขภาพของสัตว์เลี้ยงอย่างจริงใจ”
ศศิญา โสภาเสถียรพงศ์ ผู้ก่อตั้งแบรนด์ ด็อกกี้โพชั่น (Doggy
Potion) แชมพูสำหรับสัตว์เลี้ยงที่ผิวหนังบอบบาง
ได้รับแรงบันดาลใจมาจากสุนัขพันธุ์ปักกิ่งที่เลี้ยงและเป็นโรคผิวหนังตั้งแต่เด็กๆ
จากภูมิคุ้มกันไม่ดี จึงได้เริ่มศึกษาข้อมูลเพื่อทำให้ผิวหนังสุนัขดีขึ้น
จึงเกิดไอเดียจุดประกายที่จะผลิตสินค้าดูแลสุขภาพของสัตว์เลี้ยง
โดยสิ่งที่แบรนด์ให้ความสำคัญอยู่เสมอ คือประสบการณ์ของลูกค้า (Customer
Experience) การเข้าใจปัญหา และความต้องการของลูกค้าก่อนนำเสนอสินค้า
(customized solution)
“แบรนด์ ด็อกกี้โพชั่น
ทำการส่งออกมา 4 ปีแล้ว ในช่วงแรกไม่ได้มองตลาดต่างประเทศเลย
แต่เมื่อได้เข้าร่วมงานแสดงสินค้าหรืองานแฟร์เกี่ยวกับสัตว์เลี้ยง ทำให้เห็นการตอบรับที่ดีจากลูกค้าในต่างประเทศ
แต่สิ่งที่ได้มากกว่ายอดจำหน่าย คือประสบการณ์
การมีโอกาสได้เจรจากับลูกค้าหลายครั้ง ทำให้ทราบความต้องการของตลาดในแต่ละประเทศ
ได้เรียนรู้แนวทางการทำการตลาดที่แตกต่างกันในแต่ละประเทศ
เกิดมิตรภาพทางการค้ากับผู้ประกอบการคนอื่น
โดยประเทศในเอเชียอย่างสิงค์โปร์
ฮ่องกง ไต้หวัน จีน เวียดนาม และเมียนมา
ถือเป็นตลาดหลักของการส่งออกและได้รับการตอบรับที่ดี เพราะมีสภาพอากาศคล้ายกับไทย
ปัญหาผิวหนังของสัตว์เลี้ยงคล้ายกัน
ตอนนี้สัดส่วนการจำหน่ายในประเทศและต่างประเทศคือ 90:10 จากการเป็นแค่ผู้จำหน่ายสินค้าระหว่างกัน
ตอนนี้ขยับขึ้นเป็นการมองหาพาร์ทเนอร์ชิพที่ตั้งใจทำให้ด็อกกี้โพชั่นมีโอกาสเติบโตในประเทศนั้น
ที่สำคัญคือต้องการทำงานกับคนที่มี core value เดียวกัน
คือเป็นคนรักสัตว์จริงๆ และจริงใจกับลูกค้า”
ปิยณัฐ รัตนวงศาโรจน์ เจ้าของแบรนด์ BARKËTEK สินค้าไลฟ์สไตล์สำหรับสัตว์เลี้ยง เล่าว่า
ตลาดของใช้สัตว์เลี้ยงนั้นในปีที่เริ่มต้นธุรกิจยังมีช่องว่างทางธุรกิจ
สินค้าสัตว์เลี้ยงในขณะนั้นยังไม่มีการออกแบบ ทำให้รูปลักษณ์ คุณภาพ
ไม่ดีเท่าที่ควร จึงได้ทำการออกแบบสินค้าใหม่ทั้งหมดให้สอดรับกับพฤติกรรมของคนยุคใหม่
ที่ต้องการสินค้าที่มีการออกแบบและการใช้งานที่ดีขึ้น โดยแบรนด์ก่อตั้งมา 7 ปี และส่งออกมาเป็นเวลา 5 ปีแล้ว
“เป้าหมายแรกนั้นต้องการเจาะตลาดต่างประเทศอยู่แล้ว
จึงเริ่มทำการออกบูทและทำการตลาดในประเทศต่างๆ ซึ่งทำให้ได้คู่ค้าและที่ปรึกษาในต่างประเทศ
ทั้งยังได้เครือข่ายธุรกิจเพิ่มเติมจากงานแสดงสินค้าที่เข้าร่วม
ใช้เวลาสร้างฐานลูกค้าพอสมควรในช่วงหลายปีแรก ทั้งนี้ลูกค้าหลักของเรา คือตลาดเอเชีย
ฮ่องกง ญี่ปุ่น จีน ลูกค้าต่างชาติชอบในรูปแบบสินค้า การออกแบบที่เรียบง่าย
และราคาที่ไม่แพง ทำให้ตัวแทนสามารถนำไปกระจายสินค้าได้ง่าย”
ด้าน นายสมเด็จ สุสมบูรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ (DITP) ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า มูลค่าตลาดสัตว์เลี้ยงในปี 2562 มีมูลค่าการเติบโตที่ 35,453 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2561 ประมาณ 10% โดยแบ่งเป็นธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง 45% มูลค่า 15,954 ล้านบาท ธุรกิจการให้บริการสัตว์เลี้ยง 32% มูลค่า 11,345 ล้านบาท และธุรกิจสินค้าอุปกรณ์ดูแลสัตว์เลี้ยง 23% มูลค่า 8,154 ล้านบาท ด้วยความต้องการของกลุ่มคนเลี้ยงสัตว์ คือเลือกสิ่งที่ดีมีคุณภาพให้กับสัตว์เลี้ยง ไม่ว่าจะเป็นอาหาร สิ่งของเครื่องใช้ บริการต่างๆ ดังนั้นตลาดกลุ่มนี้ยังมีการโอกาสทางการเติบโตที่ค่อนข้างสูง เป็นกลุ่มตลาดที่ต่างประเทศให้ความสนใจ ด้วยผลิตภัณฑ์จากไทยมีความใส่ใจคุณภาพ โดยเฉพาะกลุ่มอาหารสัตว์แบบพรีเมียม
สมัครสินเชื่อ >>สินเชื่อธุรกิจบัวหลวง SMEs ดีแน่นอน<<
4 สินค้าและบริการที่ตลาดสัตว์เลี้ยงในจีนต้องการ
ปรับธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง รองรับการขยายตัวต่อเนื่อง