ขณะนี้ทั่วโลกต้องเผชิญกับวิกฤตซ้ำซ้อนตลอดปี
พ.ศ. 2563 ไม่ว่าจะเป็นโรคระบาด วิกฤติเศรษฐกิจ
หรือภัยพิบัติทางธรรมชาติ ส่งผลต่อชีวิตประจำวันของผู้คน
เราได้เห็นบทบาทที่เด่นชัดยิ่งขึ้นของเทคโนโลยีที่เข้ามาในไลฟ์สไตล์ของเรามากขึ้น
เพราะเรายังจำเป็นที่จะต้อง “เชื่อมต่อ” กับผู้คน เพื่อดำเนินกิจกรรมในชีวิตประจำวันรวมถึงดำเนินธุรกิจต่างๆ
ในยามที่ไม่สามารถเดินทางได้อย่างอิสระเช่นเคย เทคโนโลยี ICT ที่ประสานห้าพลังดิจิทัล อันได้แก่ AI (ปัญญาประดิษฐ์),
Application (แอปพลิเคชัน), Cloud (คลาวด์), Connectivity (การเชื่อมต่อ),
และ Computing (การประมวลผล)
จึงช่วยสร้างคุณค่าใหม่ๆ
อันจะก่อให้เกิดโซลูชันและนวัตกรรมที่นำพาโลกสู่การเชื่อมต่อที่มีความอัจฉริยะยิ่งขึ้น
ในกรณีที่เด่นชัดที่สุดคือ การนำเทคโนโลยี Cloud และ AI มาใช้ในการสาธารณสุข โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการตรวจหาโควิด 19 ที่ช่วยย่นระยะเวลาในการวินิจฉัยโรคจาก 12 นาที เหลือเพียง 30 วินาที ทั้งยังมีอัตราความแม่นยำถึง 97% ช่วยแบ่งเบาภาระแพทย์และเสริมประสิทธิภาพในการวินิจฉัยมากขึ้น
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ตัวอย่าง กรณีบริษัทหัวเว่ยที่ได้ส่งมอบเทคโนโลยีดังกล่าว
ให้กับโรงพยาบาลศิริราชและโรงพยาบาลรามาธิบดีไปในช่วงปีต้นที่ผ่านมา นอกจากนี้เทคโนโลยี
AI ยังสามารถช่วยวินิจฉัยความบกพร่องด้านการมองเห็นในเด็กเล็ก
ที่ยังไม่สามารถขอความช่วยเหลือหรือเข้าใจความผิดปกติของร่างกายตัวเองได้
หากสามารถวินิจฉัยอาการได้ตั้งแต่เนิ่นๆ
การประสบความสำเร็จในการรักษาจะเพิ่มสูงขึ้นถึง 70%
ส่งผลให้เด็กเหล่านี้มีโอกาสดำเนินชีวิตได้ตามปกติเพิ่มสูงขึ้นด้วยเช่นกัน
เทคโนโลยี Cloud และ AI ยังมีบทบาทในการพัฒนาอุตสาหกรรมและคุณภาพชีวิตอีกมากมาย
เช่น ในประเทศจีนมีการนำ AI มาใช้ในภาคการเกษตร เพื่อเรียนรู้คุณภาพและขนาดของอ้อยประเภทต่างๆ
ช่วยสร้างโมเดลระบบตรวจสอบคุณภาพผลิตผลที่แม่นยำ เสริมประสิทธิภาพในการตรวจสอบอ้อยได้สูงขึ้นถึง
14% และลดการใช้แรงงานมนุษย์ได้ถึง 70%
ช่วยแก้ปัญหาเกี่ยวกับคุณภาพผลิตผลระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายอ้อยได้อย่างสิ้นเชิง
รวมทั้งการใช้ AI ศึกษาข้อมูลอุตุนิยมวิทยาย้อนหลังถึง 10 ปี เพื่อสร้างโมเดลจำลองการพยากรณ์อากาศและติดตามพายุ
ช่วยลดความเสี่ยงในการออกหาปลาของชาวประมงในประเทศจีนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้
หัวเว่ยยังได้พัฒนาระบบพิทักษ์ป่าเขตร้อนด้วยเทคโนโลยี Cloud และ AI โดยใช้ร่วมกับแอปพลิเคชันในมือถือ
เพื่อตรวจจับเสียงกิจกรรมการตัดไม้ทำลายป่าและการล่าสัตว์ผิดกฎหมาย
ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ป่ากว่า 6,000 ตารางกิโลเมตร
สามารถพิทักษ์ป่าไม้จากการตัดไม้ทำลายป่าได้ถึง 400 ล้านต้น
ในมุมที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน เทคโนโลยี Cloud และ AI
จากหัวเว่ย ยังช่วยจัดการการจราจรบนท้องถนนผ่านอุปกรณ์ AI ซึ่งติดตั้งไว้ในแต่ละสี่แยก
จึงช่วยวิเคราะห์รับส่งข้อมูลการจราจรได้และลดอัตราการจราจรติดขัดได้ถึง 17% รวมทั้งเพิ่มความคล่องตัวของรถยนต์บนท้องถนนได้ถึง 15%
ปฏิเสธไม่ได้ว่าเทคโนโลยี ICT รวมไปถึงขุมพลังดิจิทัลต่างๆ อย่าง Cloud,
AI, และ 5G จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิต เศรษฐกิจ
และสังคมได้ในทุกมิติ การมีเทคโนโลยี Cloud ที่พร้อมรองรับข้อมูลประมวลผลมหาศาลจาก
AI เป็นสิ่งจำเป็นที่จะนำพาประเทศไทยไปสู่ยุคสมัยแห่งความอัจฉริยะ
โดยปัจจุบันหัวเว่ยมีบริการ Cloud ในประเทศไทย
และมีศูนย์ข้อมูลหรือ Data Center ในประเทศถึงสองแห่งเพื่อรองรับการให้บริการ
Cloud ในไทยโดยเฉพาะ
ทั้งนี้จากกระแสข่าวยังระบุว่า หัวเห่ยยังมีแผนจะเปิดตัวศูนย์ข้อมูลแห่งที่สามด้วยเม็ดเงินลงทุนกว่า 700 ล้านบาทในปี พ.ศ. 2564 ที่จะถึงนี้ ซึ่งการมีศูนย์ข้อมูลในประเทศจะทำให้หัวเว่ยจะมีทีมชาวไทยคอยดูแลลูกค้าอย่างใกล้ชิด สามารถชำระค่าบริการเป็นเงินบาทได้ ทั้งยังสามารถวางใจในเรื่องของความปลอดภัยที่การันตีด้วยใบรับรองมาตรฐานระดับโลกกว่า 50 รายการ รวมถึงมาตรฐาน ISOA27701 เป็นไปตาม “พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล” (PDPA) ของประเทศไทย จึงสามารถต่อยอดการนำ Cloud มาผสมผสานในธุรกิจและอุตสาหกรรม สร้างความเป็นไปได้ไม่รู้จบที่จะพัฒนาไปสู่โลกอัจฉริยะแห่งการเชื่อมโยงสื่อสารเต็มรูปแบบได้อย่างแท้จริง