เห็นได้ชัดเจนว่าในช่วงที่มีการล็อกดาวน์โควิด
19 ที่ร้านอาหารเกือบทั่วประเทศถูกสั่งห้ามจำหน่ายแบบนั่งรับประทานในร้าน
ขายได้แต่นำกลับไปรับประทานที่บ้าน ซึ่งทำให้ทางเลือกการขายมีจำกัด
ส่งผลให้แพลตฟอร์ม ‘ฟู้ด เดลิเวอรี’ กลายเป็นช่องทางหลักในการสร้างยอดขายให้กับร้านอาหาร ไม่ว่าจะร้านแบรนด์ใหญ่
กลาง เล็ก ทุกร้านต้องมี โดยความนิยมในปัจจุบันก็ยังคงเป็นแพลตฟอร์มแบรนด์ดังๆ
เจ้าตลาด 3-4 ราย
ซึ่งเมื่อลูกค้าส่วนใหญ่ติดอยู่กับการใช้บริการแอพพลิเคชั่นเหล่านั้น
ร้านอาหารก็เลี่ยงไม่ได้ที่ต้องเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในแอพพลิเคชั่นเพื่อเพิ่มโอกาสการขาย
โดยในช่วงต่อมามีประเด็นเรื่องที่ร้านต้องเสียให้กับแอพพลิเคชั่น
ที่เรียกว่า Gross Profit (GP) หรือส่วนแบ่งจากการขาย ในอัตราปัจจุบันที่แต่ละแอพพลิเคชั่นเก็บอยู่นั้น
ร้านแทบไม่เหลือกำไร หรือมีความจำเป็นต้องลดปริมาณของอาหารลง จนทำให้ผู้บริโภครู้สึกถึงความไม่ยุติธรรม
เรื่องนี้จะหาทางออกอย่างไร ?
อย่างไรก็ตาม ล่าสุดทางคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (กขค.) ที่ได้เห็นชอบปรับปรุงไกด์ไลน์ “ฟู้ด เดลิเวอรี่” ใหม่ หลังเปิดรับฟังความคิดเห็น โดยมีการปรับให้มีความชัดเจนใน 3 ประเด็น “นิยามผู้ประกอบธุรกิจ-การเรียกเก็บค่าส่วนแบ่งรายได้-การจำกัดสิทธิ์” พร้อมวางกฎเกณฑ์เข้มในการเรียกเก็บค่าใช้จ่าย การกำหนดเงื่อนไขทางการค้า การใช้อำนาจเหนือตลาดที่ไม่เป็นธรรม และขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างรอประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา เพื่อให้มีผลบังคับใช้ทางกฎหมายต่อไป ซึ่งมีรายละเอียดที่น่าสนใจยิ่ง
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
3 ประเด็นสำคัญที่ได้มีการปรับแก้ไขใหม่
ประเด็นที่ 1 : ความไม่ชัดเจนของคำนิยามของผู้ประกอบธุรกิจรับและส่งอาหาร
ซึ่งมีการตั้งข้อสังเกตว่าคำนิยามที่กำหนดไว้เดิมยังไม่ชัดเจน และไม่สื่อถึงผู้ประกอบธุรกิจให้บริการรับและส่งอาหาร
(แพลตฟอร์ม) จึงได้มีการปรับแก้ไขคำนิยามให้ชัดเจนมากขึ้น จากเดิมใช้คำว่า ‘ผู้ประกอบธุรกิจรับและส่งอาหารผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์’ ได้ปรับแก้ใหม่เป็น ‘ผู้ประกอบธุรกิจให้บริการดิจิทัลแพลตฟอร์มรับและส่งอาหาร’ รวมทั้งกำหนดคำนิยามใหม่ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
ประเด็นที่ 2 : ข้อกังวลเกี่ยวกับการเรียกเก็บค่าส่วนแบ่งรายได้ (GP)
ได้มีการปรับแก้ไขถ้อยคำใหม่ จากเดิมที่เขียนไว้ว่า
การเรียกเก็บค่าส่วนแบ่งรายได้ในอัตราที่สูงเกินสมควร หรือแตกต่างกันระหว่างผู้ประกอบธุรกิจร้านอาหาร
ปรับแก้ไขใหม่โดยแยกเป็น 2 หัวข้อ คือ
การเรียกเก็บค่าส่วนแบ่งรายได้เพิ่มสูงขึ้นจากอัตราที่เคยเรียกเก็บโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร
และการเรียกเก็บในอัตราที่แตกต่างกันระหว่างผู้ประกอบธุรกิจร้านอาหารที่จำหน่ายอาหารประเภทเดียวกันโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร
ประเด็นที่ 3 : ข้อวิตกว่าการกำหนดเงื่อนไขที่เป็นการจำกัดสิทธิ (Exclusive
Dealing) ของผู้ประกอบธุรกิจร้านอาหาร เป็นพฤติกรรมที่ห้ามกระทำในทุกกรณี
จึงได้มีการปรับแก้ไขถ้อยคำใหม่เป็น
การกำหนดเงื่อนไขที่เป็นการจำกัดสิทธิของผู้ประกอบธุรกิจร้านอาหารที่มีลักษณะเป็นการบังคับ
โดยการห้ามจำหน่ายอาหารผ่านช่องทางของผู้ประกอบธุรกิจให้บริการดิจิทัลแพลตฟอร์มรับและส่งอาหารรายอื่นโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร
ส่วนข้อกำหนดที่เกี่ยวกับการปฏิบัติทางการค้าของผู้ประกอบธุรกิจให้บริการดิจิทัลแพลตฟอร์มรับและส่งอาหาร
ซึ่งอาจเข้าข่ายเป็นการกระทำอันเป็นผลให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ประกอบธุรกิจร้านอาหาร
มีแนวทางในการพิจารณาดังต่อไปนี้
1. การเรียกเก็บค่าใช้จ่าย
ค่าตอบแทน หรือผลประโยชน์อื่นๆ ที่ไม่เป็นธรรม โดยไม่ได้แจ้งให้ผู้ประกอบธุรกิจร้านอาหารทราบล่วงหน้า ถึงเหตุผลและความจำเป็นของการเปลี่ยนแปลงในระยะเวลาที่เหมาะสม
เช่น การเรียกเก็บค่าส่วนแบ่งรายได้ในอัตราที่เพิ่มสูงขึ้นจากที่เคยเก็บ
และการเรียกเก็บในอัตราที่แตกต่างกันระหว่างผู้ประกอบธุรกิจร้านอาหารที่จำหน่ายสินค้าเดียวกันโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร, การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการโฆษณา (Advertising
Fee) โดยไม่มีเหตุผลอันสมควร เช่น
การเรียกเก็บค่าโฆษณาเพื่อส่งเสริมการขาย โดยที่ผู้ประกอบธุรกิจร้านอาหารไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ตามที่ตกลงกันไว้
เป็นต้น, การเรียกเก็บค่าส่งเสริมการขายในโอกาสพิเศษทางการตลาด
(Promotion) โดยไม่มีเหตุผลอันสมควร
และการเรียกเก็บค่าใช้จ่าย ค่าตอบแทน หรือผลประโยชน์อื่นๆ
ที่ไม่เคยมีการเรียกเก็บมาก่อน โดยไม่มีเหตุผลอันสมควร
2. การกำหนดเงื่อนไขทางการค้าอันเป็นการจำกัดหรือขัดขวางการประกอบธุรกิจของผู้อื่นอย่างไม่เป็นธรรม เช่น
การกำหนดเงื่อนไขที่เป็นการจำกัดสิทธิของผู้ประกอบธุรกิจร้านอาหารที่มีลักษณะเป็นการบังคับ
โดยการห้ามจำหน่ายอาหารผ่านช่องทางของผู้ประกอบธุรกิจให้บริการดิจิทัลแพลตฟอร์มรับและส่งอาหารรายอื่น
โดยไม่มีเหตุผลอันสมควร
3. การใช้อำนาจตลาดหรืออำนาจต่อรองที่เหนือกว่าอย่างไม่เป็นธรรม โดยการแทรกแซงหรือจำกัดความเป็นอิสระในการกำหนดราคาของผู้ประกอบธุรกิจร้านอาหาร, การกำหนดเงื่อนไขบังคับด้านราคาที่ต้องขายเท่ากันในทุกช่องทางการจำหน่าย
(Rate Parity Clause), การประวิงเวลาจ่ายค่าสินค้าตามระยะเวลาที่กำหนด
(Credit Term), การปฏิเสธการทำการค้ากับผู้ประกอบธุรกิจร้านอาหารในระหว่างระยะเวลาของสัญญา
หรือการยกเลิกสัญญาอันเนื่องมาจากเหตุผลต่างๆ โดยไม่มีเหตุผลสมควร, การยกเลิกผู้ประกอบธุรกิจร้านอาหารออกจากช่องทางการจำหน่ายโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร,
การเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขภายใต้สัญญา หรือระยะเวลาของสัญญาโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร
และการเปลี่ยนแปลงระยะเวลาของสัญญาโดยไม่มีการแจ้งล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 60 วัน
ข้อกำหนดและข้อบังคับดังกล่าวยังรวมถึงการปฏิบัติทางการค้าที่ไม่เป็นธรรมอื่นๆ ซึ่งน่าจับตาว่าภายหลังไกด์ไลน์ “ฟู้ด เดลิเวอรี่” มีการประกาศใช้เป็นกฎหมายจะสามารถแก้ปัญหาต่างๆ ระหว่างผู้ให้บริการและร้านอาหารได้หรือไม่ ที่สำคัญน่าจับตาว่าผู้บริโภคจะได้รับประโยชน์อย่างไรต่อการประกาศใช้กฎหมายนี้