ภายหลัง
‘Tesla’ ค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่ ประกาศแผนการทำตลาด
ในประเทศอินเดียภายในปี 2564 ทำให้ ‘อินเดีย’ หันมาเร่งผลักดันโครงการอุดหนุนให้กับผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า
(อีวี) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายการสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศ
‘อินเดีย’ ประเทศยักษ์ใหญ่ที่มีประชากรกว่า 1,300 ล้านคน ซึ่งได้ก้าวเป็นผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่อันดับ 6 ของโลก เมื่อปี 2561 มีการสนับสนุนการลงทุนรถยนต์ไฟฟ้าครั้งนี้ จึงถือเป็นจุดเปลี่ยนที่น่าจับตามอง
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ที่ผ่านมา ‘อินเดีย’ ก็ไม่ต่างจากประเทศต่างๆ ทั่วโลกที่มุ่งสู่การพัฒนาอุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า โดยมีเป้าหมายเพื่อลด ละ เลิก ผลิต รถยนต์ที่ใช้น้ำมันฟอสซิล ซึ่งมีการคาดการณ์จาก India Energy Storage Alliance (IESA) ว่า ตลาดยานยนต์ไฟฟ้าในอินเดียจะเติบโต 44% ต่อปี นับจากปี 2563- 2570 โดยจะมียอดขายรถยนต์อีวีเพิ่มขึ้นถึง 6.3 ล้านคันในปี 2570
แต่ทว่าความพยายามของอินเดียในการสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้า เพื่อลดมลพิษและการพึ่งพาน้ำมันในช่วงที่ผ่านมา ถือว่ายังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร เนื่องจากยังขาดเงินลงทุนและอุปสงค์ (ความต้องการใช้) รถยนต์ไฟฟ้าไม่มากนัก และที่สำคัญโครงการเงินอุดหนุนในปัจจุบันยังมีความแตกต่างกันในแต่ละรัฐ
แต่สำหรับ
‘นโยบายการส่งเสริมรถยนต์ไฟฟ้า’ ในครั้งใหม่นี้ ได้มีการปรับปรุง โดยจัดสรรเม็ดเงินอุดหนุนให้เจาะจงมากขึ้น
วางแผนจะใช้เงินทั้งหมด 8,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
แก่ผู้ผลิตรถยนต์และชิ้นส่วน เป็นระยะเวลา 5 ปี เพื่อกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในอุตสาหกรรมต่างๆ
โครงการเงินอุดหนุน 8,000 ล้านเหรียญสหรัฐนี้ เป็นส่วนหนึ่งของโครงการมูลค่า
27,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ที่อินเดียใช้เพื่อดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ ส่งเสริมอุตสาหกรรมยานยนต์
เพื่อช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดส่งออกยานยนต์ของโลก และเดินหน้าสู่เป้าหมายการเป็น “ผู้นำด้านการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าของโลก”
โดยโครงการนี้มีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 เมษายน 2564 ที่ผ่านมา บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจะได้รับจะได้เงินคืนจากรัฐบาลเพิ่มขึ้น
2% จากปกติที่คืนอัตรา 4-7% ของยอดขายและมูลค่าการส่งออกยานยนต์และชิ้นส่วน
นั่นจึงทำให้นักลงทุนไม่ว่าจะเป็น Tesla ที่ตัดสินใจเข้ามาลงทุนแล้ว
แต่ยังมีผู้ผลิตคู่แข่งทั้ง Ford, Volkswagen, Tata Motors และ
Mahindra & Mahindra ต่างวางแผนลงทุนเพิ่มขึ้นจำนวนมาก
สำหรับผู้ประกอบการที่จะสมัครเข้าร่วมโครงการนี้ได้ ต้องเป็นผู้ผลิตยานยนต์ที่มีรายได้รวมไม่ต่ำกว่า 1,400 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือผู้ผลิตชิ้นส่วนจะต้องมีรายได้ไม่กว่า 69 ล้านเหรียญสหรัฐ และต้องมีอัตราการเติบโตของธุรกิจ 8% ต่อปี
ทั้งนี้คาดว่ารัฐบาลอินเดียมองถึงโอกาสกระตุ้นการลงทุนในอุตสาหกรรมนี้เพิ่มขึ้น 14,000 ล้านเหรียญสหรัฐในอีก 5 ปี
หลังจากขับเคลื่อนโครงการนี้ จะช่วยกระตุ้นให้เกิดการจ้างงาน 5.8 ล้านตำแหน่ง และสร้างรายได้ทางภาษีคืนกลับให้รัฐบาล 4,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
อย่างไรก็ตาม
แม้ว่าเม็ดเงินสนับสนุนอุตสาหกรรมจะดูดความสนใจของนักลงทุนมากพอสมควร แต่อีกด้านหนึ่งการลงทุนในอินเดียยังมีความท้าทายอีกไม่น้อย
ทั้งอัตราดอกเบี้ยและภาษีพลังงานสูง โครงสร้างพื้นฐานไม่พร้อม รวมถึงค่าใช้จ่ายด้านโลจิสติกส์อินเดียค่อนข้างสูง
ซึ่งทำให้การผลิตในอินเดียมีต้นทุนสูงกว่าประเทศคู่แข่ง เช่น ไทยและเวียดนามอยู่ 5-8% นั่นจึงทำให้อินเดียต้องให้ความช่วยเหลือด้านการเงินแก่นักลงทุน
และที่สำคัญอินเดียยังมีการผลิตแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออนไม่เพียงพอ ซึ่งอาจจะไม่ทันกับการเติบโตของอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าด้วย นี่อาจจะเป็นโอกาสของไทย หากสามารถเร่งการลงทุนอุตสาหกรรมนี้ เพื่อทำการตลาดส่งออกไปยังประเทศอินเดียในอนาคต