อินโดนีเซีย ตั้งเป้าเศรษฐกิจดิจิทัลโตติด TOP 10 ของโลก
ปลายปีที่ผ่านมา อินโดนีเซีย ประกาศว่าได้มีบริษัทสตาร์ทอัพระดับยูนิคอร์นเพิ่มอีกรายคือ บริษัท OVO บริษัทชำระเงินดิจิทัล นับเป็นสตาร์ทอัพลำดับที่ 5
ที่ไต่เต้าถึงระดับยูนิคอร์นหรือมีการระดมทุนถึง 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ จากเดิมที่มีอีก
4 บริษัท ได้แก่ Gojek บริษัทผู้ให้บริการ
ride-hailing Traveloka บริษัทผู้ให้บริการด้านการท่องเที่ยว
Bukalapak และ Tokopedia สองผู้ให้บริการอีคอมเมิร์ซรายใหญ่
เป็นที่ทราบกันดีว่า อินโดนีเซียมีอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลมากที่สุดในกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน โดยปี 2558 ถึง 2560 เศรษฐกิจดิจิตอลของอินโดนีเซียเติบโตเกือบร้อยละ 90 จากตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจดังกล่าว มาจากการทำธุรกรรมผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่ส่วนใหญ่ ดำเนินการโดยผู้ประกอบการ ในอุตสาหกรรมสร้างสรรค์และผู้ประกอบการขนาดเล็กและขนาดกลาง
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ทั้งจากการศึกษาของสถาบันด้านการวิจัยเศรษฐกิจและสังคมของอินโดนีเซีย
(LPEM) ภายใต้มหาวิทยาลัย อินโดนีเซีย เปิดเผยว่า Tokopedia
ผู้ให้บริการอีคอมเมิร์ซรายใหญ่ในอินโดนีเซีน
จะเพิ่มรายได้ให้แก่เศรษฐกิจอินโดนีเซียปี 2562 มูลค่า 170 ล้านล้านรูเปียห์ เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน 58
ล้านล้านรูเปียห์
โดยสิ่งหนึ่งที่ Tokopedia ดำเนินการ
คือทำให้มีแม่บ้านจำนวนมากกลายเป็นแม่ค้าในอินโดนีเซีย จากการศึกษาพบว่า
ปีทีผ่านมา Tokopedia สร้างรายได้ให้แก่ครัวเรือน 19 ล้านล้านรูเปียห์ ซึ่งเท่ากับเพิ่มรายได้ให้แก่แม่บ้านคนละ 441,000
รูเปียห์ theast Asia E-Money Market ระบุว่า
ในปี 2561 เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีปริมาณการทำธุรกรรม e-money
ในภูมิภาคเพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 31 โดยอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์แสดงการเติบโตที่มีประสิทธิภาพของ
e-money และ e-wallet
นอกจากนี้อินโดนีเซียได้มีเศรษฐกิจสร้างสรรค์16 กลุ่มที่กำลังพัฒนา อาทิ แอพพลิเคชั่นและการพัฒนา เกม
สถาปัตยกรรม การออกแบบผลิตภัณฑ์แฟชั่น การตกแต่งภายใน การออกแบบการสื่อสารด้วยภาพ ภาพยนตร์
แอนนิเมชั่น วีดีโอ การถ่ายภาพ งานฝีมือ การทำอาหาร ดนตรีสื่อสิ่งพิมพ์การโฆษณา
วิจิตรศิลป์ โทรทัศน์และวิทยุ
ดังนั้นสิ่งนี้ได้ผลักดันให้อินโดนีเซียกลายเป็นผู้นำด้านเศรษฐกิจดิจิทัลในภูมิภาคอาเซียน
เนื่องจากการพัฒนาทางเศรษฐกิจภายในประเทศและตลาดในประเทศที่มีประสิทธิภาพ รัฐบาลส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ให้เข้ามามีบทบาททางเศรษฐกิจมากยิ่งขึ้น
ประกอบกับมีภาคเอกชนที่เข้มแข็ง และที่สำคัญมีจำนวนประชากรถึง 264
ล้านคนเลยทีเดียว
เป้าหมาย ติดTop 10 ของโลก
Joko Widodo ประธานาธิบดีระบุว่า อินโดนีเซียจะเป็นประเทศที่เศรษฐกิจดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ
9 ของโลกภายในปี 2573 โดยในปี 2565
อินโดนีเซียคาดว่าจะเป็นหนึ่งในประเทศที่เศรษฐกิจเติบโตมากที่สุด ทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก
โดยมีสตาร์ทอัพยูนิคอร์น 5 ราย และนอกจากนี้มีบริษัทสตาร์ทอัพอย่างน้อย 8
รายที่พร้อมจะกลายเป็นยูนิคอร์นของอินโดนีเซียต่อไป บริษัทเหล่านี้เติบโตและมีอิทธิพลต่อการจ้างงาน
โอกาสทางเศรษฐกิจและผู้ประกอบการของอินโดนีเซีย
ที่สำคัญอินโดนีเซียมีผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ต
171.2 ล้านคน และผู้สมัครสมาชิกโทรศัพท์มือถือ 355.5
ล้านเลขหมาย โดยมีผู้ประกอบการ SMEs ทั้งสิ้น 26
ล้านรายที่จะเข้าสู่ระบบออนไลน์
นอกจากนี้พยายามที่จะกระตุ้นกระบวนการลงทุนด้านดิจิทัล
มีความสอดคล้องกับวิสัยทัศน์เพื่อสร้างอินโดนีเซียให้เจริญรุ่งเรืองแบบยั่งยืน
อินโดนีเซียพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ICT ขนาดใหญ่เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนด้วยการดำเนินงานร่วมกับภาคเอกชน
โดยมีการสร้างเครือข่ายใยแก้วนำแสงระดับประเทศขนาด 348,000 กิโลเมตร
ทั้งบนบกและใต้น้ำและสถานีรับส่งสัญญาณ 480,000 แห่งทั่วประเทศ
รวมถึงมีดาวเทียมอเนกประสงค์ 5 แห่งที่ครอบคลุมพื้นที่ ทั้งรัฐบาลอินโดนีเซียได้พัฒนาเทคโนโลยี
5G เพื่อให้ทันกับโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ขณะเดียวกันยังจัดให้มีโครงการพัฒนาการเรียนรู้ด้านดิจิทัล
รวมถึงมีการมอบทุนการศึกษาด้านความสามารถทางดิจิทัล
นอกจากนี้รัฐบาลอินโดนีเซียพยายามลดความซับซ้อนของกฎระเบียบและนโยบาย อาทิ การยื่นร่างกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนตัว (UU PDP) และร่างกฎหมาย Omnibus Law เข้าสู่รัฐสภาของอินโดนีเซีย
แม้จะเป็นที่ทราบดีว่า
เศรษฐกิจดิจิทัลของอินโดนีเซียล้วนพึ่งพาอีคอมเมิร์ซ แถมมีจำนวนประชากรมากถึง 264
ล้านคน และมีการเติบโตของผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตและสมาร์ทโฟนเป็นอย่างมาก ที่สำคัญการชำระเงินออนไลน์สะดวกและได้รับความนิยมสูง
ไม่แปลกหรอกที่เขาตั้งเป้าไว้ที่อันดับโลก เพราะมองข้ามภูมิภาคนี้ไปแล้ว