ยานยนต์ไฟฟ้าขับเคลื่อนด้วยแบตเตอรี่ หรือ BEV
กำลังอยู่ในระยะตั้งไข่สำหรับประเทศไทย หลังจากที่รัฐบาลได้ลงนามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี
ที่ 38/2563 แต่งตั้งคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ
เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาอุตสาหกรรมอนาคตนี้ให้เป็นไปตามโรดแมปที่มีเป้าหมายว่าปี
2573 ไทยจะต้องมียานยนต์ไฟฟ้าสัดส่วนถึง 30% หรือ 750,000 คัน
ทั้งนี้ ข้อมูลจากกรมการขนส่งทางบก (2563) คาดการณ์ว่า จนถึงสิ้นปี 2563 จะมีจำนวนรถ BEV เพิ่มเป็น 5,000 คัน จากตัวเลขครึ่งปี (30 มิ.ย. 2563) ที่มีจำนวนรถ 4,301 คัน หรือเพิ่มขึ้น 700 คัน เฉลี่ยเดือนละ 100 กว่าคัน ส่วนยานยนต์ที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าแบบไฮบริด (HEV) ปลั๊ก-อินไฮบริด (PHEV) มีจำนวน 167,767 คัน และสถานีอัดประจุไฟฟ้า 570 แห่ง จำนวนหัวจ่ายไฟฟ้า 1,854 หัวจ่ายจากตัวเลข
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
การเดินหน้านโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมถูกขับเคลื่อนออกมาอย่างต่อเนื่อง
โดยคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ดบีโอไอ)
ได้ลุยออกมาตรการส่งเสริมการลงทุนรถยนต์ไฟฟ้าเฟสแรก ทั้งการลดภาษีนิติบุคคล
การนำเข้าเครื่องจักร เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการให้ตัดสินใจลงทุนผลิต
แต่ด้วยเหตุที่ปริมาณการใช้ หรือตลาดรถยนต์ไฟฟ้ายังไม่เติบโตมากนัก
จึงไม่ได้จูงใจให้มีการผลิต กระทั่งมาตรการดังกล่าวหมดอายุไปเมื่อเดือนธันวาคม
2562 โดยมีผู้ผลิตที่ตัดสินใจลงทุนประมาณ 10 แบรนด์ อาทิ เบนซ์ เอ็มจี โตโยต้า
มิตซูบิชิ ฮอนด้า และ FOMM แต่ด้วยเทรนด์รถยนต์ไฟฟ้าเป็นอนาคตที่ทุกประเทศต่างพูดถึง
หลายค่ายก็ได้มีการพัฒนาเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้านี้ไปใช้ในยานพาหนะอื่นๆ
ทั้งรถสามล้อตุ๊กตุ๊ก เรือ มอร์เตอร์ไซต์ไฟฟ้า นำมาสู่การปรับมาตรการส่งเสริมการลงทุนใหม่
ล่าสุดในที่ประชุมบอร์ดบีโอไอ เมื่อวันที่ 4
พฤศจิกายน 2563 ได้มีมติเห็นชอบมาตรการส่งเสริมการลงทุน เพิ่มประเภทกิจการ
ขยายเวลาและปรับปรุงมาตรการเดิม โดยเปิดให้การส่งเสริมกิจการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า (EV)
รอบ 2 โดยขยายให้คลุมยานพาหนะไฟฟ้าทุกประเภท ทั้งรถยนต์
รถจักรยานยนต์ รถสามล้อ รถโดยสาร รถบรรทุก
รวมถึงเรือที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า
และมีเงื่อนไขว่าการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่
(BEV)
กรณีลงทุนไม่น้อยกว่า 5,000 ล้านบาท
ได้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 8 ปี หากมีการลงทุนด้านวิจัยและพัฒนาก็สามารถได้รับสิทธิเพิ่ม
ส่วนกรณีการลงทุนน้อยกว่า 5,000 ล้านบาท
จะได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3 ปี
และจะได้รับสิทธิเพิ่มขึ้นหากดำเนินการได้ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด เช่น
เริ่มผลิตรถยนต์ภายในปี 2565 +1 ปี มีการผลิตชิ้นส่วนสำคัญเพิ่มเติมจากข้อกำหนดพื้นฐาน
+1 ปี มีปริมาณการผลิตจริงมากกว่า 10,000 คันต่อปี +1 ปี
และมีการลงทุนด้านวิจัยและพัฒนา +1 ปี
ถ้ามีโครงการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) ด้วย จะได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3 ปี
และต้องการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ไฟฟ้าอย่างน้อย 3 ชิ้น
สำหรับกิจการผลิตรถจักรยานยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่
จะได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3 ปี
และจะได้รับสิทธิเพิ่มขึ้นหากดำเนินได้ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด เช่น เริ่มผลิตภายในปี
2565 มีการผลิตแบตเตอรี่ไฟฟ้าที่เริ่มจากขั้นตอน Module มีการผลิตชิ้นส่วนสำคัญอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น Traction Motor และมีการลงทุนด้านวิจัยและพัฒนา
หากมาตรการทั้งหมดนี้ สามารถดึงดูดการลงทุนได้ เชื่อว่าน่าจะทำให้ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าคนไทยจะได้ใช้ยานยนต์ไฟฟ้าขับเคลื่อนด้วยแบตเตอรี่ หรือ BEV กันมากขึ้น
สมัครสินเชื่อ >>สินเชื่อธุรกิจบัวหลวง SMEs ดีแน่นอน<<
ออสเตรเลียพัฒนา "พลังงานแห่งอนาคต" รองรับยานยนต์สมัยใหม่