ย้อนกลับไปเมื่อ 6
ปีที่แล้ว หากยังจำได้ว่ารัฐบาลญี่ปุ่น ประกาศปรับขึ้นภาษีบริโภค (Consumer
Tax) จาก 5%
เป็น 8% ในเดือนเมษายน 2557
ซึ่งเป็นการปรับขึ้นครั้งแรกในรอบ 17
ปี นับจากที่เคยปรับขึ้นเมื่อปี 2540
จาก 3% เป็น 5%
ผลจากการปรับขึ้นภาษีครั้งนี้ทำให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นเข้าสู่ภาวะถดถอยในช่วงสั้นเลยก็ว่าได้
ล่าสุดรัฐบาลญี่ปุ่นชุดที่ได้การเลือกตั้งเมื่อเดือนกรกฎาคม
2562 ที่ผ่านมา
ได้ประกาศนโยบายชัดเจนว่าจะมีการปรับขึ้นภาษีบริโภคจาก 8%
เป็น 10%
อย่างแน่นอนและจะมีผลบังคับใช้ในเดือนตุลาคม 2562
โดยเป็นนโยบายได้เคยประกาศไว้ก่อนเลือกตั้ง
แต่ก็ได้ประกาศเลื่อนการมีผลบังคับใช้ออกมาถึง 2
ครั้ง ด้วยเหตุผลว่าอาจจะสะเทือนต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่น
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
โดยมีการคาดการณ์ว่าผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการปรับขึ้นภาษีบริโภคจะอาจเป็นการกระตุ้นให้ประชาชนซื้อสินค้า
หรือใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเพื่อกักตุนไว้
แต่หลังจากการขึ้นภาษีมีผลบังคับใช้ไปแล้วจะทำให้ประชาชนลดการจับจ่ายลง
และที่สำคัญระดับราคาสินค้าหลังขึ้นภาษีจะปรับสูงขึ้น รายได้สุทธิลดลง ทำให้การจับจ่ายใช้สอยลดลงในลำดับต่อไป
อย่างไรก็ตาม
รัฐบาลญี่ปุ่นประเมินว่าผลกระทบที่จะเกิดจากการปรับขึ้นภาษีครั้งนี้จะรุนแรงน้อยกว่าครั้งที่ผ่านมา
เนื่องจากอัตราภาษีที่ปรับขึ้นเป็นอัตราต่ำกว่าครั้งก่อน 1%
หรือปรับขึ้นเพียง 2%
จากเดิมที่ปรับขึ้น 3%
และระยะเวลาในการปรับขึ้นภาษี
ที่รัฐบาลเลือกช่วงเดือนตุลาคมซึ่งเป็นช่วงกลางปีงบประมาณ
ซึ่งโดยปกติจะเป็นช่วงที่มีการจับจ่ายใช้สอยคึกคักอยู่แล้ว
ที่สำคัญรัฐบาลยังได้เตรียมมาตรการเสริมไว้รับมือพร้อม
ประกอบไปด้วย มาตรการลดผลกระทบจากการปรับขึ้นภาษีทางตรง โดยให้คงอัตราภาษีสำหรับสินค้าบางประเภท
เช่น เครื่องดื่มที่ไม่ใช่สุรา อาหารบริโภคนอกบ้าน
มาตรการช่วยเหลือเรื่องการศึกษาฟรีของเด็ก มาตรการช่วยเหลือผู้สูงวัย
ซึ่งรัฐบาลได้เพิ่มเม็ดเงินจุดนี้มากขึ้นถึง 15%
ของอัตราการเก็บภาษี หรือราว 1.7
ล้านล้านเยน อีกทั้งยังมีมาตรการเสริมเพื่อบรรเทาผลจากรายได้สุทธิลดลง เช่น
การใช้ระบบคืนแต้ม 5%
ของรายจ่ายสำหรับผู้ที่ซื้อสินค้าจากร้านค้าปลีกโชวห่วย โดยใช้เงินสด การให้บัตรของขวัญเพื่อซื้อสินค้าที่มีมูลค่าสูงกว่าในบัตร
และมาตรการลดหย่อน เพื่อสนับสนุนการซื้อที่อยู่อาศัยและยานยนต์ เป็นต้น
นอกจากนี้
ญี่ปุ่นกำลังจะเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกในปี 2563
ซึ่งคาดว่าปัจจัยนี้จะทำให้มีเม็ดเงินสะพัดในระบบ ทำให้การจับจ่ายใช้สอยไม่ลดลง
อย่างไรก็ตาม
สำหรับผู้ส่งออกไทยที่ส่งออกสินค้าไปยังตลาดญี่ปุ่นก็ยังจำเป็นต้องจับตาผลกระทบที่จะเกิดขึ้น
เพราะตลาดญี่ปุ่นเป็นตลาดหลักในการส่งออกของไทย ถือครองส่วนแบ่งการส่งออกประมาณ 9
-10% ดังนั้น หากมีการปรับขึ้นภาษีบริโภค
ย่อมทำให้สินค้ามีราคาแพงขึ้น ทั้งสินค้าที่ผลิตในญี่ปุ่น และสินค้านำเข้า
โดยประเภทสินค้าที่จะได้รับผลกระทบ เช่น อัญมณี เฟอร์นิเจอร์
ส่วนสินค้าบางประเภทยังมีอัตราภาษีคงเดิม เช่น อาหาร และเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์
สำคัญยิ่งไปกว่าการปรับราคาสินค้า คือ
ผลกระทบจากการปรับภาษีต่อเศรษฐกิจ และกำลังซื้อในตลาดญี่ปุ่น
ถือว่าเป็นเอฟเฟคที่รุนแรงกว่า หากเศรษฐกิจประสบปัญหาถดถอยในช่วงสั้นซ้ำรอยปี 2557
ย่อมกระทบต่อกำลังซื้ออย่างแน่นอน
ดังนั้นแนวทางสำคัญที่ผู้ประกอบการไทยต้องเตรียมการคือ การพัฒนาสินค้าเพื่อตอบสนอความต้องการของผู้บริโภค แทนการแข่งขันด้วยราคา รวมถึงการสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรญี่ปุ่นในห่วงโซ่การผลิต เพื่อสร้างความได้เปรียบในเรื่องต้นทุน ตลอดจนการใช้ประโยชน์จากความตกลงการค้าเสรี ไม่ว่าจะเป็นความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA) หรือความตกลงอื่นๆ ซึ่งทั้งหมดนั้นนับเป็นความท้าทายต่อผู้ส่งออกไทยอย่างยิ่ง