ญี่ปุ่นใช้ AI เรียนรู้ความชอบ ตอบโจทย์รสชาติคอกาแฟต้องการ
‘ข้อมูลเชิงอัตวิสัย’ หรือความชอบส่วนบุคคล เช่น รสชาติ กลิ่น เป็นต้น ว่ากันว่าเป็นข้อมูลที่นำมาวิเคราะห์ได้ยากนั้น ในปัจจุบันได้มีการนำระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาประยุกต์ใช้เพื่อนำเสนอบริการที่สามารถแนะนำผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมให้เห็นกันแพร่หลายมากขึ้น
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
โดยในญี่ปุ่นมีร้านคาเฟ่
AI ที่เพียงลูกค้าตอบคำถามเกี่ยวกับความชอบของตน
หุ่นยนต์จะนำคำตอบไปประมวลผล แล้วเลือกเมล็ดกาแฟตามที่ลูกค้าน่าจะชอบ และดริปกาแฟออกมาให้ลูกค้าแต่ละราย
หุ่นยนต์จะเรียนรู้คำศัพท์ที่แสดงถึงการแสดงออกเกี่ยวกับกลิ่นต่างๆ
และระบบจะนำมาประมวลผลเพื่อเลือกให้เหมาะกับความหอมของกาแฟแต่ละชนิดได้
หลังลูกค้าตอบคำถามความชอบส่วนบุคคลกับหุ่นยนต์
‘เสร็จสิ้นการวินิจฉัย! กาแฟที่เหมาะกับคุณคือกาแฟตัวนี้’
เป็นผลลัพธ์ที่หุ่นยนต์สื่อสาร กับลูกค้าที่สั่งกาแฟจากร้านคาเฟ่ไร้พนักงานแห่งนี้
ซึ่งอยู่บริเวณหน้าประตูทางเข้าออกสถานีรถไฟชินบาชิในกรุงโตเกียว
ร้านเปิดให้บริการตั้งแต่เดือนเมษายนในปีนี้
เนื่องจากย่านนี้เป็นย่านที่มีพนักงานบริษัทจำนวนมาก ลูกค้าส่วนมากจึงเป็นพนักงานบริษัทซึ่งสั่งการผ่าน โทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟน รอรับกาแฟที่ร้าน แล้วก็เดินจากไปด้วยความยินดี เพราะพวกเขารอดื่มด่ำกับรสชาติ ‘กาแฟที่เหมาะกับความชอบ’ ตามที่ได้ตอบคำถามตอนสั่งกาแฟกับระบบ ‘root C MATCH’ ซึ่ง พัฒนาโดยบริษัท New Innovations ระบบนี้จะทำหน้าที่วิเคราะห์ความชอบของผู้บริโภค
ก่อนอื่นลูกค้าจะตอบคำถาม 7
ข้อผ่านแอปพลิเคชันตอนสั่งออเดอร์ คำถามจะมีทั้งที่เกี่ยวกับกลิ่น โดยตัวอย่างคำตอบ
เช่น ‘แนวกลิ่นหอมดอกไม้แบบหวานๆ’ หรือ ‘แนวกลิ่นผลไม้รสเปรี้ยวแบบสดชื่น’ ถ้าเกี่ยวกับรสชาติกาแฟที่ชอบก็จะมีทั้ง
‘รสเข้มออกขม’ หรือ ‘รสกลมกล่อม’ เป็นต้น ตลอดจนคำถามเกี่ยวกับประเภทเหล้าหรือแอลกอฮอล์ที่ชอบก็มี
โดยระบบจะนำคำตอบเกี่ยวกับความขม ความหวาน ความเปรี้ยว และอื่นๆ ที่ลูกค้าแต่ละรายให้ข้อมูลมาวิเคราะห์
และนำเสนอกาแฟซึ่งมีทั้งแบบร้อนและเย็นรวม 12 ชนิด จากเมนูให้ลูกค้าแต่ละราย
หลังจากลูกค้าดูข้อเสนอและสั่งออเดอร์
โดยระบุเวลาที่จะไปรับกาแฟ ลูกค้าจึงสามารถสั่งกาแฟตอนที่ยังอยู่ที่ทำงาน
แล้วค่อยไปรับกาแฟที่ทำเองโดยอัตโนมัติจากล็อกเกอร์ร้านตามเวลาที่ระบุไว้ได้
แต่หากเกิน 10 นาทีจากที่ระบุไว้ ตู้ล็อกเกอร์จะล็อกไม่สามารถนำกาแฟที่ทำเสร็จแล้วออกไปได้
เนื่องจากบริษัทต้องการลดความเสี่ยงด้านสุขอนามัย
CEO ของบริษัท New Innovations นาย Keito NAKAO ได้ให้ข้อมูลว่า การนำเสนอครั้งแรกนั้นที่จริงเป็นผลจากอัลกอริทึมที่กำหนดโดยบาริสต้าและบริษัทเรา
ผลการการเรียนรู้ของ AI จะเห็นผลตั้งแต่ครั้งที่ 2 เป็นต้นไป หลังลูกค้าดื่มกาแฟแก้วแรกไปแล้ว
ระบบจะมีคำถามเกี่ยวกับรสชาติและความพึงพอใจให้ลูกค้าตอบอีกครั้งบนแอปพลิเคชัน
นอกจากคำตอบทั่วไป เช่น ‘อร่อยมาก’ หรือ ‘ไม่ค่อยชอบ’ คำที่แสดงออกถึงรายละเอียดมากขึ้น
เช่น ‘รสชาติเข้ม ขมเป็นพิเศษ’ นี้ ก็จะทำให้ AI เรียนรู้ได้ดีขึ้น
และนำเสนอสินค้าที่เหมาะสมยิ่งขึ้นได้ในครั้งต่อไป
ทั้งนี้เมล็ดกาแฟที่บริษัทใช้นั้น ล้วนเป็นกาแฟชนิดพิเศษ
ซึ่งมีรสชาติที่หลากหลาย และปกติมีจำหน่ายในปริมาณไม่มากนัก
เรียกได้ว่าเป็นกาแฟคุณภาพสูงชนิดพรีเมียม
แต่ละชนิดจึงมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ชัดเจน บางร้านอาจขายกันแก้วละ
1,000-1,500 เยน (ประมาณ 287-430 บาท)
แต่เนื่องจากร้านไม่มีพนักงานจึงสามารถนำเสนอกาแฟพรีเมียมนี้ได้ในราคาเพียง 450
เยน (ประมาณ 129 บาท)
เดือนเมษายนเปิดร้านที่สถานีชินบาชิ
ต่อมาในเดือนพฤษภาคมก็เปิดร้านในลักษณะเดียวกันที่ตึกใกล้ๆ สถานีโตเกียว
และในเดือนมิถุนายนนี้เป็นต้นไป ก็มีแผนที่จะเปิดร้านในศูนย์การค้าในพื้นที่สถานี JR
Ochanomizu และ Kanda ทั้งยังเพิ่มเมนูทั้งคาเฟ่ลาเต้
กลายเป็น 16 เมนูอีกด้วย
นอกจากนี้ รูปแบบแนวคิดทางธุรกิจนี้ยังถือว่าเป็นแนวคิดใหม่ที่กำลังอยู่ในช่วงลองใช้งานในสังคมจริง
และในขณะนี้ได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในโครงการ ‘ระบบระเบียบข้อบังคับแซนด์บ็อกซ์
(Regulation
Sandbox System)’ ซึ่งรัฐบาลญี่ปุ่นได้มีการกำหนดขึ้นมา
สำหรับธุรกิจที่มีการนำ IT หุ่นยนต์ หรือ IoT มาประยุกต์ใช้ และยอมรับว่าเป็นโครงการที่ทดลองเพื่อนำผลลัพธ์ที่ได้มาใช้ประกอบการพิจารณาแก้ไข ระเบียบข้อบังคับของรัฐบาลได้ หากพบว่าระเบียบข้อบังคับที่ใช้ในปัจจุบัน มีความเหมาะสมที่จะปรับปรุงให้เหมาะกับสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปในขณะนั้น
การนำระบบปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI
มาประยุกต์ใช้ธุรกิจ
ในเรื่องการปรับเป็นอัตโนมัติอาจไม่ใช่เรื่องใหม่อีกต่อไป
แต่การต่อยอดในแต่ละภาคส่วน เพื่อให้เกิดประโยชน์กับทั้งผู้บริโภคและผู้ให้บริการนั้น
ยังเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นใหม่อยู่เสมอในปัจจุบัน
ทั้งนี้ความชอบส่วนตัว การแสดงออกทาง คำพูด
การถ่ายทอดความรู้สึก ซึ่งเป็นเรื่องที่แม้จะเป็นการสื่อสารกันเองระหว่างมนุษย์
บางครั้งยังทำได้ยากนั้น การนำ AI มาช่วยในการเรียนรู้
ทำความเข้าใจนั้น เป็นการสร้างโอกาสใหม่ทางธุรกิจที่สามารถทำให้เข้าใจลูกค้าทำได้ตรงกลุ่มเป้าหมาย
ตลอดจนเพิ่มระดับความพึงพอใจของลูกค้าได้อีกด้วย
ยกระดับบทบาทของ AI
ในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับลูกค้าไปอีกขั้น
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องรสชาติ กลิ่น ความรู้สึก ซึ่งในอนาคตการต่อยอดจากเรื่องพวกนี้จะสามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์ของบริษัท
ซึ่งมีหลายตัวให้เหมาะกับลูกค้าแต่ละรายได้ดีมากยิ่งขึ้น
เมื่อลูกค้าได้ลองผลิตภัณฑ์ตามความชอบของตน ภาพลักษณ์ที่มีต่อผลิตภัณฑ์หรือแบรนด์นั้นๆ
ย่อมดีขึ้นตามไปด้วย เป็นการเพิ่มโอกาสที่ลูกค้านั้นจะ กลับมาใช้บริการใหม่ในครั้งต่อไป
ทั้งนี้หากบอกระบบถึงความชอบที่ต่างไป
ก็ยังสามารถลองผลิตภัณฑ์ตามความชอบที่ตนระบุได้ด้วย
ก็ถือเป็นประโยชน์ต่อลูกค้าที่จะได้สนุกไปกับการได้ลองผลิตภัณฑ์ตามที่ตนชอบด้วย
การสร้างความแตกต่างให้ชัดเจนในตัวผลิตภัณฑ์ ตลอดจนการศึกษาตลาด และความต้องการของผู้บริโภค
เป็นหนึ่งในปัจจัยการผลักดันในเกิดแนวคิดทางธุรกิจที่นำ AI
มาประยุกต์ใช้ในลักษณะนี้
ซึ่งชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำธุรกิจทั้งในญี่ปุ่น และในประเทศอื่นๆ
รวมถึงไทยในอนาคต
แหล่งอ้างอิง : หนังสือพิมพ์ออนไลน์ Nikkei MJ ฉบับลงวันที่ 23 มิถุนายน 2564, กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ