กลุ่มอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับของไทยนับเป็นอุตสาหกรรมที่สร้างรายได้จากการส่งออกกว่า
2 แสนล้านบาทในปี2561
แม้จะมีแผ่วไปบ้างในช่วง 2
ปีที่ผ่านมาแต่ก็ยังถือเป็นอุตสาหกรรมที่สร้างรายได้อันดับต้นๆ
ของประเทศโดยมีตลาดใหญ่ใน ‘ฮ่องกง’
ที่กล่าวได้ว่าเป็นศูนย์กลางตลาดอัญมณีและเครื่องประดับที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ขณะที่อีกประเทศคือสหรัฐอเมริกา ซึ่งช่วงที่ผ่านมาตลาดในกลุ่มจิวเวลรี่เริ่มมาแรง
โดยการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับไปสหรัฐฯ
ในปี 2561 มีมูลค่ารวม 1,357 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 15.72%
โดยสินค้าส่งออกไปสหรัฐฯ 3 อันดับแรก ได้แก่ เครื่องประดับเงิน 553
ล้านเหรียญสหรัฐ ,
เครื่องประดับทอง 429 ล้านเหรียญสหรัฐ
และทับทิม แซฟไฟร์ มรกต และพลอยเจียระไนอื่นๆ 167 ล้านเหรียญสหรัฐ
ส่วนสหรัฐฯ ส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับมาไทยมูลค่ารวม 591 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 40% โดยสินค้าส่งออกหลัก 3 อันดับแรก ได้แก่ เพชร พลอย แพลตตินัม ตามลำดับ
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลค์ Facebook bangkokbanksme
นางขวัญนภา ผิวนิล
ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครลอสแอนเจลิส สหรัฐฯ
เปิดเผยว่า ปัจจุบันตลาดสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับในสหรัฐฯ มีการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง
จากที่มีปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำ โดยคาดว่าตลาดจะมีอัตราการขยายตัวต่อเนื่องไปจนถึงปี
2565 แม้ว่าจะขยายตัวในอัตราที่ไม่สูงมากนัก
แต่ก็ถือเป็นสัญญาณที่ดีต่อการส่งออกสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับของไทยที่จะขยายตลาดเข้าสู่ตลาดสหรัฐฯ
ได้เพิ่มขึ้น
สำหรับสินค้าที่กำลังมาแรง
และกำลังได้รับความนิยมในตลาดสหรัฐฯ ก็คือ ‘สมาร์ท
จิวเวลรี่’ หรือเครื่องประดับที่ผลิตโดยการผสมผสานเทคโนโลยีเข้าไป
เพื่อให้สามารถตอบโจทย์การใช้งาน เช่น
สร้อยข้อมือที่สามารถเก็บข้อมูลทำกิจกรรมต่างๆ ของผู้สวมใส่
แหวนที่สามารถวัดจำนวนก้าวและแคลอรี สร้อยคอที่จะสั่นเบาๆ เพื่อแจ้งว่ามีโทรศัพท์
อีเมล เข้ามา
นอกจากนี้ ยังมีสินค้าที่มีแนวโน้มเติบโตดี
เช่น เครื่องประดับชิ้นเล็กๆ ที่เริ่มได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น
โดยเฉพาะสินค้าที่มาจากแหล่งกำเนิดแท้จริงของเครื่องประดับนั้นๆ
อย่างเครื่องประดับที่ผลิตจากชุมชน
ที่แสดงออกถึงวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่น
ขณะที่แนวโน้มการเติบโตของสมาร์ทจิวเวลรี่ และเครื่องประดับที่มีแหล่งกำเนิดชัดเจน ถือเป็นเทรนด์ใหม่ในตลาดสหรัฐฯ ซึ่งผู้ประกอบการไทยสามารถผลิตสินค้าเหล่านี้ป้อนความต้องการของตลาดได้อยู่แล้ว เพราะไทยมีฝีมือในการผลิต และสามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในสหรัฐฯ ได้ ส่วนการเข้าสู่ตลาด นอกจากการเข้าร่วมงานแสดงสินค้าในสหรัฐฯ ยังสามารถใช้ช่องทางออนไลน์ โซเซียลมีเดีย ในการเจาะเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคสหรัฐฯ
‘กฎถิ่นกำเนิด’ต้องระวังหากโฟกัสตลาดสหรัฐฯ
ท่ามกลางปัจจัยสนับสนุน
แต่ไม่ง่ายนักที่จะเจาะตลาดสหรัฐฯ เนื่องจากเทรนด์ใหม่ในตลาดสหรัฐฯในกลุ่มสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับจะต้อง
‘มีแหล่งกำเนิดที่ชัดเจน’ โดยก่อนหน้านี้
สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน) ได้มีคำเตือนถึงผู้ประกอบการไทยในกลุ่มอัญมณีและเครื่องประกับกรณีที่กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ
ได้ส่งสารถึงบรรดากิจการและกลุ่มบริษัทต่างๆ
ในธุรกิจเครื่องประดับระหว่างการประชุมในนิวยอร์กซิตี้ว่า
ธุรกิจเครื่องประดับจะต้องรับรู้และเปิดเผยข้อมูลแหล่งที่มาของวัตถุดิบทั้งหมด
ไม่ใช่แค่อัญมณี เพชรหรือพลอยสี แต่รวมถึงทองคำและโลหะมีค่าอื่นๆ ด้วย
มิฉะนั้นจะถูกดำเนินการตามกฎหมายใหม่ที่จะนำมาใช้ในอุตสาหกรรมนี้อย่างเข้มงวดมากขึ้น
แม้กฎหมายใหม่นี้ยังไม่เปิดเผยรายละเอียดข้อมูลที่ชัดเจนมากนัก
แต่คาดว่าจะมีการประกาศใช้ในเร็วๆ นี้
เนื่องด้วยรัฐบาลสหรัฐฯ
เชื่อว่าวัตถุดิบในการผลิตเครื่องประดับนั้นเป็นแหล่งเงินทุนสนับสนุนเหตุความขัดแย้งและกลุ่มนอกกฎหมาย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน อิหร่าน เวเนซูเอลา และบางประเทศในทวีปแอฟริกา
ฉะนั้นภาครัฐจึงต้องการทราบแหล่งที่มาของวัตถุดิบ หรือชิ้นส่วนที่นำเข้าทุกรายการ
เพื่อป้องกันประเด็นเรื่องการฟอกเงิน
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าภาคอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับเห็นว่า
การทราบแหล่งที่มาของวัตถุดิบหรือชิ้นส่วนทุกรายการในเครื่องประดับอย่างชัดเจนนั้นเป็นเรื่องยาก
เนื่องจากวัสดุหลายชิ้นนั้นผ่านการรีไซเคิล การนำกลับมาใช้ใหม่
และการขายผ่านตลาดรอง หรือขายผ่านมือมาหลายทอด
แต่ทว่าภาครัฐก็ไม่ได้คล้อยตามข้อคิดเห็นดังกล่าวนี้และมองว่าภาคอุตสาหกรรมไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบที่มีอยู่
อีกทั้งยังจับตามองอุตสาหกรรมเครื่องประดับเป็นลำดับต้นๆ
แม้จะเชื่อว่ามีความเป็นไปได้ที่อุตสาหกรรมอื่นๆ
ก็เป็นแหล่งทุนสนับสนุนเหตุความขัดแย้งต่างๆ ด้วย
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการไทยที่จะส่งออกสินค้าไปจำหน่ายในตลาดสหรัฐ คงต้องปรับตัวพร้อมรับกฎระเบียบใหม่ที่จะบังคับใช้ในอนาคตอันใกล้ โดยสำหรับสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับทุกชิ้นจะต้องสำแดงเอกสารแหล่งที่มาของวัตถุดิบ ไม่ว่าจะเป็นเพชร พลอยสี และโลหะมีค่าทั้งทองหรือเงิน เป็นต้น ให้ถูกต้องจากหน่วยงานที่น่าเชื่อถือ ไม่ว่าจะเป็นใบรับรองจาก Responsible Jewellery Council หรือเพชรที่มีใบรับรอง Kimberley Process หรือองค์กรที่ให้การรับรองเหมืองทองอย่าง Fairtrade (http://www.fairgold.org) และ Fairmined (http://www.fairmined.org) เพื่อแสดงถึงความโปร่งใสในธุรกิจเครื่องประดับ
อ้างอิง : กรมการค้าต่างประเทศ
กระทรวงพาณิชย์
: ศูนย์ข้อมูลอัญมณีและเครื่องประดับ
สถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ
(องค์การมหาชน)