บอกเลยว่าในปี
2020 ที่ผ่านมา ถึงแม้เศรษฐกิจไทยจะเข้าขั้นวิกฤตบวกกับไวรัสโควิด19
ทำให้ทุกคนเจอผลกระทบกันไปหมด
แต่มีสิ่งหนึ่งที่ยังคงคึกคักและได้การตอบรับเป็นอย่างดี นั่นก็คือ ‘อุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัล’
ซึ่งถือเป็นจุดกำเนิดของเทคโนโลยี Blockchain แต่จริงๆ
แล้วเทคโนโลยีนี้สามารถประยุกต์ใช้ได้อย่างหลากหลาย
เนื่องจาก Blockchain คือรูปแบบการเก็บข้อมูลแบบหนึ่งของระบบที่ไม่มีศูนย์กลางแต่เชื่อถือได้และโกงยาก เพราะย้อนกลับไม่ได้ แก้ไขได้ยาก สามารถตรวจสอบได้ ทำให้ความนิยมในการใช้ Blockchain ในหลายประเทศ เพิ่มสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด วันนี้เรานำ 6 Blockchain ที่ทุกคนควรรู้ในปี 2021 มาฝาก
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
1. มีการใช้งาน Blockchain as a
Service มากขึ้น
หลายคนมองว่า
Blockchain เป็นเรื่องไกลตัว แต่ในปี 2021
Blockchain จะไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป
สิ่งนี้จะถูกนำมาประยุกต์ใช้กันเป็นวงกว้าง
ในปีที่ผ่านมามีบริษัทเทคโนโลยีหลายบริษัทเข้ามาให้บริการในส่วนนี้ ไม่ว่าจะเป็น Amazon
Web Services (AWS), Microsoft Azure และ Alibaba Cloud
Blockchain as a Service ทำให้เห็นแนวโน้มในอนาคตได้อย่างชัดเจนว่า
จะมีบริษัทอีกหลายบริษัทที่จะเปิดให้บริการเกี่ยวกับ Blockchain เพื่อตอบสนองความต้องการอันหลากหลายในการใช้งานอย่างแน่นอน โดยจะมีความเฉพาะทางมากขึ้น
และมีค่าราคาบริการที่ถูกลงด้วย
2. หน่วยงานต่างๆ จะใช้ Blockchain มากขึ้น
ด้วยจุดเด่นของ
Blockchain ทำให้ตอบโจทย์ด้านความโปร่งใส ในปี 2021
หน่วยงานรัฐ เอกชน และโรงพยาบาลต่างๆ จะนำ Blockchain มาใช้กันมากขึ้น เพื่อการพัฒนาด้านข้อมูลที่ดีกว่าเดิม
และเป็นประโยชน์ต่อประชาชนมากยิ่งขึ้น
3. การเปลี่ยนแปลงของระบบ Blockchain ขนาดใหญ่
Adrian Lee เป็น Senior Research Director ของบริษัท Gartner ซึ่งเป็นบริษัทที่ทำการวิจัยเกี่ยวกับด้าน IT ได้คาดการณ์เอาไว้ว่า
ในอนาคตเราอาจจะได้เห็นการปรับปรุงเปลี่ยนแปลง ของระบบฐานข้อมูลของบริษัทที่ใช้ Blockchain
ในปัจจุบัน
เพราะมีหลายบริษัทที่ยังขาดความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับ Blockchain ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้ว Blockchain
สามารถเข้ามาช่วยแก้ปัญหาได้อย่างไรบ้าง
ต้องติดตามกันต่อไปว่าจะมีบริษัทไหนบ้างที่ทำการปรับปรุงเปลี่ยนแปลง
4. มีการร่วมมือกันระหว่างระบบที่มากขึ้น
ยิ่งมีผู้ใช้บริการ
Blockchain มากขึ้นเท่าไหร่
ผู้ให้บริการก็มักจะเพิ่มขึ้นตามมาด้วย
ผลที่ตามมาคือแต่ละบริษัทจะมีระบบที่แตกต่างกัน ทำให้การจัดเก็บข้อมูลในระยะยาวเกิดผลกระทบ
ซึ่งในอนาคตมีการคาดว่าภาพของระบบที่แตกต่างกันแต่สามารถใช้งานร่วมกันได้จะเกิดขึ้นในไม่ช้า
5. สกุลเงินดิจิทัลถูกพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ
ถ้าพูดถึงสกุลเงินดิจิทัล
ชื่อที่คุ้นเคยมากที่สุดคงจะหนีไม่พ้น Bitcoin แต่นอกเหนือจาก Bitcoin ยังมีสกุลเงินดิจิทัลอื่นๆ
อีก เช่น Ethereum, Ethereum Classic, Litecoin และอื่นๆ
อีกมากมาย ซึ่งในอนาคตสกุลเงินเหล่านี้จะถูกพัฒนาและเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในอนาคต
โดยเฉพาะช่วงเวลาที่เทคโนโลยี Blockchain ถูกพัฒนา ซึ่งในปี
2021 มีการคาดการณ์ว่า สกุลเงิน Cryptocurrency เหล่านี้จะเปลี่ยนบทบาทจากเป็นเพียงการเก็งกำไรมาเป็นการใช้จ่ายได้จริง
ซึ่งสกุลเงินที่น่าจับตามองมากๆ นั่นก็คือ สกุลเงิน LIBRA ของ
Facebook นั่นเอง
6. Blockchain มีบทบาททางการค้าและการพาณิชย์มากขึ้น
ในปี 2021 Blockchain จะเติบโตและเข้ามามีบทบาทเกี่ยวกับการค้าและการพาณิชย์มากขึ้น ซึ่งจะเข้ามามีบทบาทสำคัญในด้านติดตามการขนส่ง การนำเข้าดิจิทัลและธุรกรรมการส่งออกแบบไม่ต้องสัมผัส มีการร่วมมือระหว่างประเทศมากขึ้น เพื่ออำนวยความสะดวกในการค้าระหว่างประเทศ นอกจากนี้ Blockchain ยังช่วยลดขั้นตอน เวลาที่ใช้ และยังช่วยเพิ่มความมั่นใจว่า ข้อมูลได้รับการป้องกันจากการถูกปลอมแปลง Blockchain ไม่เพียงแต่จะเพิ่มระดับความไว้วางใจของทุกฝ่าย แต่ยังช่วยให้ผู้ค้าได้รับเงินทุนที่จำเป็นจากผู้ให้กู้ด้วยต้นทุนที่ต่ำลงด้วย
Blockchain ยังมีความสามารถในการทำธุรกรรมระหว่างบุคคลหรือกลุ่มที่เกี่ยวข้อง สามารถเสร็จสมบูรณ์ได้โดยตรงและไม่ต้องมีคนกลาง ทั้งยังสามารถใช้ข้อมูลในรูปแบบดิจิทัล จึงทำให้การดำเนินธุรกรรมเป็นไปอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังสามารถใช้ ‘สัญญาอัจฉริยะ’ (Smart Contract) เพื่อผลักดันให้การดำเนินการด้านการค้าเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในสัญญาดังกล่าว
Blockchain มีส่วนสำคัญต่อธุรกิจโลกดิจิทัลทำให้การทำงานของบริษัทต่างๆ ทั่วโลกง่ายขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจ SME ที่ขาดทรัพยากรของตนเองในการดำเนินธุรกิจจากที่ใดก็ได้ โดยส่วนใหญ่ Blockchain มักจะถูกนำไปใช้งาน และมีบทบาทเกี่ยวกับอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัล ในปี 2021 ก็ยังคงเป็นเช่นนั้น แต่ Blockchain จะเข้าไปมามีบทบาทในด้านอื่นๆ เพิ่มขึ้นด้วย
ธนาคารกรุงเทพ ตั้ง
‘Contour’ ให้บริการบล็อกเชน ตอบโจทย์อินเตอร์เทรนด
ทั้งนี้ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)
ซึ่งเป็นผู้ให้บริการทางการเงินชั้นนำของไทย และเป็นธนาคารไทยแห่งแรกที่ได้เข้าร่วมกับธนาคารและองค์กรพันธมิตรชั้นนำระดับโลก
เพื่อร่วมก่อตั้งบริษัทใหม่ ในชื่อ ‘Contour’ เพื่อดำเนินธุรกิจการให้บริการด้านการค้าระหว่างประเทศ
(Trade Finance) ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2563 เน้นการนำเทคโนโลยี Distributed Ledger Technology หรือ Enterprise Blockchain มายกระดับบริการด้าน Trade Finance ให้เป็นระบบดิจิทัลทั้งกระบวนการ
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดระยะเวลาดำเนินการลง
โดยสามารถทำธุรกรรมเปิด Letter of Credit (L/C) บน Contour Network ระหว่างธนาคารกรุงเทพ สาขาฮานอย กับธนาคารกรุงเทพ ประเทศไทยได้สำเร็จเป็นครั้งแรกในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งธุรกรรมดังกล่าวช่วยลดระยะเวลาการเปิด L/C ลงเหลือไม่ถึง 1 ชั่วโมงเท่านั้น
นายพิพัฒน์ อัสสมงคล ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ธนาคารกำลังเดินหน้าพัฒนาศักยภาพการให้บริการด้าน Trade Finance ผ่าน Contour อย่างต่อเนื่อง โดยการขยายขอบเขตความร่วมมือไปยังธนาคารชั้นนำของโลก และธนาคารท้องถิ่นชั้นนำในต่างประเทศเพื่อการทำธุรกรรม Blockchain แบบข้ามธนาคาร (Cross Bank) บน Contour Network ให้แก่ลูกค้า ทั้งยังสามารถทำรายการได้ในฐานะธนาคารผู้เปิด L/C และผู้รับ L/C ซึ่งช่วยตอบโจทย์ความต้องการทำธุรกรรมของลูกค้าได้ ทั้งด้านนำเข้าและส่งออก
นอกจากนี้ การทำธุรกรรม L/C บน Contour Network ซึ่งใช้งานผ่าน Enterprise Blockchain Platform ช่วยให้ลูกค้าสามารถทำธุรกรรมในรูปแบบดิจิทัลได้ทั้งกระบวนการ ทำให้คู่ค้าทุกฝ่ายสามารถเห็นข้อมูลพร้อมๆ กัน ซึ่งช่วยให้ทำรายการได้อย่างรวดเร็ว โปร่งใสและลดต้นทุนการดำเนินการด้วยเอกสารกระดาษในรูปแบบเดิมอย่างมาก สอดรับกับสถานการณ์การค้าระหว่างประเทศทั้งในปัจจุบันและอนาคต ที่จะต้องมีความรวดเร็วและปลอดภัยในการทำธุรกรรม ทำให้ธนาคารมั่นใจว่ามีความพร้อมที่จะนำไปสู่การให้บริการเชิงพาณิชย์ได้อย่างเต็มรูปแบบในระยะต่อไป