สถานการณ์ปัญหาที่ทั่วโลกกำลังเผชิญจากการแพร่ระบาดของโควิด
19 นอกจากส่งผลต่อสุขภาพร่างกายแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตอีกด้วย
ไม่ว่าจะเป็นความวิตกกังวลต่อการติดเชื้อไวรัส และการใช้ชีวิตที่ยังคงต้องอยู่ภายใต้ข้อปฏิบัติต่างๆ
หลายคนต้อง Work From Home ตื่นเช้ามาเจอกับกิจวัตรเดิมๆ
เห็นห้องเดิมๆ วิวเดิมๆ ไม่ได้ออกไปไหนมาไหนเหมือนแต่ก่อน จนเริ่มเกิดความเครียด
รู้สึกว่าสุขภาพจิตก็เริ่มถดถอย
ประกอบกับต้องเผชิญกับภาวะวิกฤตเศรษฐกิจทำให้รายได้น้อยลงหรือต้องตกงาน
ยิ่งทำให้เกิดความเครียดสะสมจนอาจลุกลามเป็นปัญหาสุขภาพจิตที่รุนแรงในระยะยาว
ทางเราจึงได้รวบรวมวิธีการรับมือกับสภาพจิตใจ ให้สามารถก้าวผ่านวิกฤตมาให้ทุกคนได้ลองทำตามกันได้ไม่ยากด้วยวิธีต่างๆ ดังนี้
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
1. มีสติและเข้าใจกับสถานการณ์ปัจจุบัน
สิ่งแรกที่ควรทำคือ
‘การตั้งสติ’
ทำความเข้าใจว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้นั้นเป็นสิ่งที่ไม่สามารถควบคุมได้
ควรกลับมาอยู่กับปัจจุบัน รู้ทันและเปิดรับการมีอยู่ของอารมณ์ ความรู้สึก
เพราะเป็นธรรมดาของมนุษย์ที่หากต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่สามารถควบคุมได้
มักจะมีความคิดที่เป็นกังวลเกิดขึ้นมาเสมอ ดังนั้น
การมีสติจะช่วยให้สามารถวางแผนและประเมินสถานการณ์ เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตมากนัก
รวมไปถึงการมีสติเข้าใจตัวเอง กล้าเผชิญหน้ากับปัญหาที่เข้ามา และดูว่ามีอะไรที่เราสามารถทำได้บ้าง
คือวิธีรับมือที่ดีที่สุด
2. รักษาสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ
การมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง
ย่อมส่งผลดีต่อสุขภาพจิตของเราเช่นกัน ดังนั้นในช่วงที่เผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้
จำเป็นต้องทานอาหารเพื่อสุขภาพ หลีกเลี่ยงการทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์
พร้อมทั้งหมั่นออกกำลังกายบ่อยๆ ที่สำคัญควรพักผ่อนให้เพียงพอและตรงต่อเวลา
3. ติดตามข่าวสารแต่พอดี
การติดตามข่าวสารถือเป็นสิ่งจำเป็นที่ทุกคนจะต้องให้ความสำคัญ
คอยอัพเดทข่าวสารอยู่ตลอดเวลา
เพื่อให้ตัวเองได้รู้ว่าจำนวนผู้ติดเชื้อมีมากน้อยแค่ไหน
และการรักษาดำเนินการไปถึงไหน โดยเริ่มจากการเลือกเสพข่าวจากแหล่งข่าวหรือหน่วยงานที่น่าเชื่อถือ
และแบ่งเวลาสำหรับการติดตามข่าวสารให้ชัดเจน ควรติดตามข่าววันละไม่เกิน 2
ครั้ง เพื่อป้องกันการเสพสื่อที่มากจนเกินไป จนอาจจะก่อให้เกิดอาการวิตกกังวลตามมาได้
4. ค้นพบตัวตนในมุมใหม่ๆ
จากการทำกิจกรรม
ในช่วงที่หลายคนต้องใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านเป็นส่วนใหญ่
เนื่องจากบางบริษัทหรือบางองค์กรมีนโยบายให้พนักงาน work from home และนั่นก็อาจจะทำให้บางคนมีเวลาว่าง
เพราะอย่างน้อยก็ไม่ต้องใช้เวลาไปกับการเดินทางไปกลับจากที่ทำงานและที่บ้าน
การได้อยู่กับตัวเองมากขึ้นนั้นอาจทำให้เห็นตัวเองในมุมใหม่ๆ ที่ไม่เคยรู้มาก่อน
เช่น จากที่ทำอาหารไม่เป็นก็ค้นพบว่าตัวเองสามารถทำอาหารได้อร่อย แถมยังเป็นกิจกรรมที่สร้างสรรค์ช่วยกระชับความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวได้เป็นอย่างดี
หรือบางคนที่เคยคิดว่าตัวเองลดน้ำหนักไม่ได้ก็ใช้ช่วงเวลานี้ซุ่มฟิตหุ่น
ออกกำลังกาย เปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนใหม่ที่ดีขึ้นทั้งรูปร่าง สุขภาพ และจิตใจ
5. ส่งต่อพลังบวกกับคนรอบข้างอย่างสร้างสรรค์
เมื่อการเว้นระยะห่างส่งผลให้จิตใจของคนเรารู้สึกเหงาและบางคนถึงขั้นเผชิญกับภาวะซึมเศร้า
การส่งต่อพลังบวกให้แก่กันถือเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกคนจำเป็นที่จะต้องทำ ดังนั้นในแต่ละวันควรที่จะติดต่อคนรอบข้างผ่านช่องทางออนไลน์ต่างๆ
เช่น Video
Call เพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนและให้กำลังใจกันและกัน
โดยแนะนำว่าให้พยายามหลีกเลี่ยงการพูดถึงเรื่องเครียดและเปลี่ยนไปคุยกันในเรื่องทั่วไป
ไถ่ถามสารทุกข์สุขดิบของคนรอบข้างบ้าง แม้จะดูเป็นเรื่องเล็กน้อย
แต่สิ่งเหล่านี้จะช่วยคลายความรู้สึกโดดเดี่ยวและบรรเทาจากความเครียดของตัวเราเองและคนรอบข้างได้
6. มองหาตัวช่วยดูแลสุขภาพจิต
ในกรณีที่รู้สึกว่าสภาพจิตใจของตัวเองยิ่งแย่ลง เครียดจนไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ ไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้ หรือแม้แต่การอยู่ในภาวะซึมเศร้า รวมทั้งการเป็นผู้ที่มีอาการทางจิตเวช และเริ่มรู้สึกแบกรับกับสถานการณ์เช่นนี้ไม่ได้ และไม่กล้าเปิดใจพูดคุยกับคนใกล้ตัว อย่าพยายามเก็บความรู้สึกไว้คนเดียว แต่ควรปรึกษาสายด่วนสุขภาพจิตที่หมายเลข 1323 หรือจะเลือกส่งข้อความผ่านทางอินบ็อกซ์ของ 1323 ปรึกษาปัญหาสุขภาพจิต ก็ได้เช่นกัน
การมีสุขภาพจิตที่ดีเป็นหนึ่งในข้อสำคัญของชีวิต
เพียงแค่ยอมรับความเปลี่ยนแปลงไปตามจริง ค่อยๆ ปรับจนเป็นความเคยชิน
ฝึกฝนใช้สติปัญญาในการเปิดใจเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ มองหาโอกาสที่แฝงอยูในวิกฤตให้เจอ เพราะการมีสุขภาพจิตใจที่ดีแล้ว
ย่อมส่งผลต่อภาวะอารมณ์ในการจัดการกับชีวิตประจำวันได้เป็นอย่างดี
อ้างอิง :
โรงพยาบาลรามาธิบดี