เนื่องจากมนุษย์เป็นสัตว์เลือดอุ่น
ร่างกายมีข้อจำกัดเรื่องการปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะ “อากาศร้อน”
จากสภาพอากาศที่มีอุณหภูมิสูงขึ้นในช่วงนี้ ทำให้เกิดปัญหาสุขภาพตามมา คือ ‘โรคลมแดด’ หรือ ‘ภาวะฮีทสโตรก (Heat Stroke)’ ซึ่งเกิดจากการที่ร่างกายอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่อุณหภูมิสูงและได้รับความร้อนมากเกินไป
เกิดการทำงานที่ผิดปกติของสมองในส่วนการควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย ทำให้มีอุณหภูมิในร่างกายสูงเกิน
40 องศาเซลเซียส ส่งผลต่อระบบไหลเวียนโลหิตและระบบสมอง ซึ่งอาจนำไปสู่การเสียชีวิตได้
ดังนั้น Bangkok Bank SME จึงพามาทำความรู้จักกับโรคนี้เพื่อการป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
อาการฮีทสโตรก
อาการโรคลมแดดเกิดขึ้นได้ในทันทีโดยไม่มีสัญญาณเตือน ซึ่งอาการที่เกิดขึ้นจะแตกต่างกันออกไปแต่ละบุคคล
โดยอาการที่พบได้บ่อย ได้แก่
- อุณหภูมิในร่างกายเพิ่มสูงขึ้นถึง 40 องศาเซลเซียสขึ้นไป
- ร่างกายไม่ขับเหงื่อออกแม้จะมีอุณหภูมิในร่างกายสูง
- ผิวหนังแดง เนื่องจากอุณหภูมิในร่างกายเพิ่มสูง
- ผิวหนังของผู้ป่วยจะแห้งและร้อน
แต่กรณีที่เป็นโรคลมแดดจากการออกกำลังกายผิวอาจมีความชื้นอยู่บ้าง
- เป็นตะคริวหรือกล้ามเนื้ออ่อนแรง
- หายใจถี่และตื้น
- หัวใจเต้นเร็ว
- มีอาการปวดศีรษะตุบๆ
- คลื่นไส้ อาเจียน
- มีอาการชัก
- วิงเวียนศีรษะ มึนงง หน้ามืด หรือเป็นลมหมดสติ
- มีสภาพจิตใจหรือพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น
สับสนมึนงง กระสับกระส่าย หงุดหงิด พูดไม่ชัด มีอาการเพ้อ หรือไม่สามารถทรงตัวได้
สาเหตุการเกิดฮีทสโตรก แบ่งเป็น 2 ประเภทหลักคือ
การอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีอุณหภูมิสูง :
เมื่อต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีอุณหภูมิสูงหรืออยู่กลางแดดเป็นเวลานาน
ส่งผลให้อุณหภูมิในร่างกายเพิ่มสูงขึ้น และไม่สามารถระบายความร้อนออกไปได้ตามปกติ
เช่น เมื่อต้องอยู่ในสภาพอากาศที่ร้อนและชื้นเป็นเวลา 2 หรือ 3 วันติดต่อกัน
มักจะเกิดขึ้นบ่อยกับผู้สูงอายุและผู้ป่วยที่เป็นโรคเรื้อรัง
การออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมที่ต้องใช้กำลังมาก :
เมื่อออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมที่ใช้กำลังมาก
โดยเฉพาะเมื่อทำกิจกรรมในสถานที่ที่มีอากาศร้อนจัด มักเป็นเหตุทำให้เกิดโรคลมแดดได้
อย่างไรก็ตามโรคลมแดดประเภทนี้อาจเกิดขึ้นได้แม้ไม่ได้อยู่ในสถานที่ที่มีอากาศร้อน
กลุ่มเสี่ยงเกิดภาวะฮีทสโตรก
1. กลุ่มที่ต้องทำงานอยู่กลางแจ้ง เช่น คนงานก่อสร้าง หรือบุคคลที่ออกกำลังกายกลางแจ้ง
เป็นต้น
2. คนสูงอายุ กลุ่มเด็ก จะมีการสูญเสียความร้อนได้มากกว่ากลุ่มวัยรุ่นปกติ
3. คนไข้สูงอายุที่มีโรคประจำตัว ต้องใช้ยาโรคประจำตัว เช่น
โรคพาร์กินสัน โรคความดันโลหิตสูง กลุ่มนี้มีปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคลมแดดได้มากขึ้น
4. ผู้ที่พักผ่อนไม่เพียงพอ
5. บุคคลที่อยู่ในภาวะอ้วน
6. ผู้ที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
อุณหภูมิในร่างกายที่สูงขึ้นกี่นาทีทำให้เกิดภาวะฮีทสโตรกได้
โดยปกติร่างกายคนเราจะมีระบบสมองที่คอยควบคุมให้ร่ายกายไม่ให้มีอุณหภูมิที่สูงมากจนเกินไป
ซึ่งร่างกายปกติจะอยู่ในปริมาณ 37.5 องศาเซลเซียส
ถึงแม้ว่าอุณหภูมิภายนอกจะหนาวมากหรือร้อนมากก็ตาม สมองเราจะสั่งการร่างกายให้มีการปรับอุณหภูมิเข้ากับสิ่งแวดล้อมและเหมาะกับตัวเราทันที
หากร่างกายปรับได้ไม่ทันจะมีอาการทางระบบประสาท ดังนั้นไม่ว่าจะนานเท่าไรก็ตามก็สามารถเกิดฮีทสโตรกได้
การปฐมพยาบาลเบื้องต้น
- นำผู้ป่วยเข้าที่ร่มในบริเวณที่อากาศเย็นหรืออากาศถ่ายเทได้สะดวก
ให้ผู้ป่วยนอนราบ ยกเท้าสูงทั้งสองข้าง เพื่อเพิ่มการไหลเวียนของเลือด
- ควรคลายเสื้อผ้าให้หลวม
เพื่อให้ร่างกายระบายความร้อนได้เร็วขึ้น
- ใช้ผ้าชุบน้ำอุณหภูมิปกติ
แล้วเช็ดตัว ซอกรักแร้ คอ ขาหนีบ และหน้าผาก โดยเช็ดย้อนรูขุมขนเพื่อระบายความร้อน
- ใช้พัดลมเป่าระบายความร้อน
หรือพัดแรงๆ เพื่อลดอุณหภูมิร่างกายให้ลดต่ำลงโดยเร็วที่สุด
- หากยังไม่ฟื้นให้รีบโทร. 1669 เพื่อนำตัวส่งโรงพยาบาลในทันที
การป้องกัน
การดูแลตัวเองในหน้าร้อน คืออย่าไปอยู่กลางแจ้งให้นานเกินไป ถ้ามีร่มก็สามารถใช้ร่มได้
ดื่มน้ำให้มากๆ ทานน้ำแข็ง ทานไอศกรีม หรือถ้าอยู่ในบ้าน พยายามเปิดประตู หน้าต่าง
ไม่ควรอยู่ในที่อับหรืออยู่ในห้องปิด เพราะการอยู่ในห้องปิดจะทำให้อากาศไม่ถ่ายเท
เกิดความร้อนสะสมทำให้เกิดฮีทสโตรกได้แม้อยู่ในบ้าน ขณะที่ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว
ไม่ควรอยู่กลางแดดนานเกินไป ถ้าจำเป็นจริงๆ ควรหาเวลาเข้ามาอยู่ในที่ร่มบ้าง
ข้อควรระวัง : ไม่ควรปล่อยให้ร่างกายขาดน้ำ และควรดื่มน้ำเยอะๆ
หากคุณพบกับผู้มีภาวะฮีทสโตรก ให้รีบนำผู้ป่วยเข้าที่ร่มอากาศถ่ายเทได้สะดวก
ให้นอนราบยกเท้าทั้งสองข้างขึ้นสูงเพื่อเพิ่มการไหลเวียน
ถอดเสื้อผ้าให้เหลือน้อยชิ้น คลายชุดชั้นใน ใช้ผ้าชุบน้ำเย็น น้ำแข็งประคบตามซอกคอ
หน้าผาก รักแร้ ขาหนีบร่วมกับใช้พัดลมเป่า
เพื่อระบายความร้อนและลดอุณหภมิร่างกายให้ต่ำลงอย่างรวดเร็วที่สุด
หากไม่หมดสติให้ดื่มน้ำเปล่ามากๆ และนำส่งโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด
แหล่งอ้างอิง :
https://www.paolohospital.com/
https://www.rama.mahidol.ac.th/