วันนี้การเข้ามาของระบบอัตโนมัติ เอไอ และเทคโนโลยีอื่น ๆ ได้เริ่มส่งผลต่อรูปแบบการทำงานและแรงงานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จากงานวิจัยของ PwC พบว่า 30% ของงานจะตกอยู่ในความเสี่ยงจากการเข้ามาของระบบอัตโนมัติในช่วงกลางคริสต์ทศวรรษที่ 2030 และผลสำรวจซีอีโอประจำปี 2019 ของ PwC ชี้ว่าความพร้อมของทักษะนั้นเป็นปัจจัยที่สร้างความกังวลให้กับซีอีโอมากที่สุดที่ 79%
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ล่าสุด PwC ได้รายงานผลการศึกษา Upskilling Hopes and
Fears ของ PwC ที่ทำการสำรวจแรงงานมากกว่า 22,000
รายใน 11 ประเทศทั่วโลก
เพื่อวิเคราะห์ถึงผลกระทบของการเข้ามาของระบบอัตโนมัติ ต่อรูปแบบของงานและทักษะในอนาคต
ซึ่งพบว่า 53% ของแรงงานเชื่อว่าระบบอัตโนมัติจะเข้ามาเปลี่ยนรูปแบบของงานอย่างมีนัยสำคัญ
หรือทำให้งานที่ทำอยู่ล้าสมัยภายใน 10 ปีข้างหน้า (มีเพียง 28%
ที่รู้สึกว่าไม่น่าเป็นเช่นนั้น)
ขณะที่ผู้ถูกสำรวจส่วนใหญ่ หรือ 61% มีมุมมองเชิงบวกเกี่ยวกับผลกระทบของเทคโนโลยีที่มีต่อการทำงานประจำวัน
และ 77% ต้องการเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ
หรือฝึกฝนทักษะที่มีอยู่ เพื่อปรับปรุงทักษะของตนเองให้มีความพร้อมต่อการจ้างงานในอนาคต
อย่างไรก็ดี
โอกาสและทัศนคติเกี่ยวกับประเด็นนี้มีความแตกต่างกันไปอย่างมีนัยสำคัญตามระดับการศึกษา
ภูมิศาสตร์ เพศ และอายุของแต่ละคน
กล่าวคือ ผู้ถูกสำรวจที่จบการศึกษาระดับปริญญา เป็นกลุ่มคนที่มีมุมมองเชิงบวกเกี่ยวกับเทคโนโลยีและการจ้างงานในอนาคตมากที่สุด
แม้จะเชื่อว่างานของพวกเขาที่ทำอยู่ในปัจจุบัน มีแนวโน้มที่จะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญหรืออาจถูกแทนที่
ในทางตรงกันข้าม มากกว่า 1 ใน 3 หรือ 34% ของแรงงานที่ไม่ได้รับการศึกษาหลังจากจบระดับมัธยม
หรือไม่ได้รับการฝึกอบรมนอกหลักสูตร กล่าวว่า
พวกเขาไม่ได้รับการเรียนรู้ทักษะทางด้านดิจิทัลใหม่ ๆ
เปรียบเทียบกับบัณฑิตที่จบการศึกษาในระดับวิทยาลัยที่ 17% โดยแรงงานที่ไม่ได้รับการศึกษาหรือการฝึกอบรมหลังจากจบระดับมัธยมศึกษากลุ่มนี้
ยังมีโอกาสน้อยกว่าที่จะได้รับการฝึกอบรมจากนายจ้างเช่นกัน (38% ไม่ได้รับโอกาสเปรียบเทียบกับ 20% ของพนักงานที่เป็นผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญา)
และพวกเขายังมีความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของเทคโนโลยีที่มีต่องานมากกว่า โดย 17%
แสดงความกังวลหรือความกลัว
นอกจากนี้ผู้ชายมีมุมมองที่เป็นบวก เกี่ยวกับผลกระทบของเทคโนโลยีต่องานในอนาคตของพวกเขามากกว่าผู้หญิง
พวกเขายังมีแนวโน้มที่จะเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ มากกว่า (80% ของผู้ชายที่ถูกสำรวจกล่าวว่า
พวกเขากำลังทำเช่นนั้น เปรียบเทียบกับผู้หญิงที่ 74%)
ในทำนองเดียวกัน
กลุ่มคนที่มีอายุระหว่าง 18-34 ปีมีมุมมองในเชิงบวกเกี่ยวกับอนาคตของดิจิทัลมากกว่ากลุ่มคนในวัยอื่น
นอกจากนี้พวกเขายังได้รับโอกาสในการฝึกอบรมมากกว่าด้วย เช่น 69% ของกลุ่มคนที่มีอายุระว่าง 18-34 ปีมีความรู้สึกเชิงบวกเกี่ยวกับผลกระทบในอนาคตของเทคโนโลยีที่มีต่องานของพวกเขา
เปรียบเทียบกับ 59% ของกลุ่มคนที่มีอายุระหว่าง 35-54 ปี และ 50% ของผู้ที่มีอายุ 55 ปีขึ้นไป มีเพียง 18% ของผู้ที่มีอายุระหว่าง 18-34
ปี เท่านั้นที่กล่าวว่า
ไม่ได้รับโอกาสในการได้เรียนรู้ทักษะทางด้านดิจิทัลใหม่ ๆ จากนายจ้าง
เปรียบเทียบกับคนที่มีอายุระหว่าง 35-54 ปีที่ 29% และผู้ที่มีอายุ 55 ปีขึ้นไปที่ 38% ตามลำดับ
เมื่อพิจารณาประเทศต่าง ๆ
ที่ทำการสำรวจพบว่า
แรงงานในสาธารณรัฐประชาชนจีนและอินเดีย เป็นกลุ่มคนที่มีมุมมองเชิงบวกต่อผลกระทบของเทคโนโลยีมากที่สุด
และแม้จะเชื่อว่างานของพวกเขาจะมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญมากก็ตาม
แรงงานในภูมิภาคเหล่านี้ยังได้รับโอกาสในการยกระดับทักษะจากนายจ้างมากกว่าที่ 97% และ 95% ตามลำดับ
ในทางกลับกันแรงงานในสหราชอาณาจักรและออสเตรเลียกล่าวว่า
พวกเขาได้รับโอกาสน้อยที่สุดในการเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ
และมีมุมมองเชิงบวกต่อผลกระทบของเทคโนโลยีน้อยกว่า
แต่ไม่ว่าแรงงานจะอาศัยอยู่ในพื้นที่ชนบทหรือในเมือง ทุกคนต่างก็มีทัศนคติต่อผลกระทบของเทคโนโลยี โดย 67% ของแรงงานที่อาศัยอยู่ในเมืองเชื่อว่า แนวโน้มของงานจะปรับตัวดีขึ้นจากการเข้ามาของเทคโนโลยี (เปรียบเทียบกับ 48% ในพื้นที่ชนบท) และ 80% ได้รับโอกาสในการยกระดับทักษะจากนายจ้าง เปรียบเทียบกับ 60% ของแรงงานที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ชนบท
ไม่ว่าจะช้าหรือเร็วระบบอัตโนมัติจะเข้ามาทำงานแทนคนมากขึ้น การเตรียมความพร้อมของแรงงาน ถือเป็นเรื่องที่สำคัญทั้งในองค์กรและระดับประเทศ การยกระดับทักษะให้กับแรงงาน ซึ่งเป็นภารกิจเร่งด่วนนอกเหนือจากการลงทุนทางด้านเทคโนโลยี และต้องพัฒนาอย่างเท่าเทียมในทุกระดับ เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง