การเติบโตอย่างรวดเร็วทางเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศอาเซียน
CLMV
หรือ กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม ในช่วงหลายปีทีผ่านมา เป็นแรงดึงดูดการลงทุนจากนักลงทุนทั่วโลกให้เข้าไปปักหมุดตั้งฐานการผลิตในกลุ่มประเทศเหล่านี้
ผลพวงที่ตามมา คือความต้องการใช้พลังงานไฟฟ้าที่เติบโตสูงขึ้น
จนทำให้หลายประเทศประสบปัญหาไฟไม่เพียงพอ
สอดรับกับรายงานของนายยุทธศักดิ์
คณาสวัสดิ์ ผู้อำนวยการสำนักยุทธศาสตร์และนโยบายการลงทุน
สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน เมื่อปี 2557
เคยระบุว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจของเวียดนามทำให้ความต้องการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นและเกิดปัญหาขาดแคลนไฟฟ้า
โดยในปี 2556 ทั้งประเทศผลิตได้เพียง 23,000 เมกะวัตต์ เทียบกับความต้องการที่เพิ่มขึ้นเป็น 20,000 เมกะวัตต์
ขณะที่ไทยในตอนนั้นในระบบการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ผลิตได้ 31,277 เมกะวัตต์ และมีความต้องการใช้ 26,900 เมกะวัตต์ จึงเหลือปริมาณกำลังการผลิตสำรองไม่มากนัก
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
เป็นเหตุให้รัฐบาลเวียดนามขณะนั้นได้ตั้งเป้าหมายเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าให้เป็น
17,400 เมกะวัตต์ในปี 2563 ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานักลงทุนกลุ่มโรงไฟฟ้าจึงเบนเข็มการลงทุนเพื่อขายไฟฟ้าเข้าสู่ประเทศเวียดนาม
ทั้งการเข้าไปลงทุนโดยตรง และการลงทุนในประเทศข้างเคียงเพื่อขายไฟฟ้าไปยังเวียดนาม
โดยข้อมูลจาก Energy
News Center ล่าสุดเมื่อเดือนสิงหาคม 2563
ส่วนหนึ่งระบุว่า ขณะนี้มีนักลงทุนด้านโรงไฟฟ้าของไทยอย่างน้อย 4 รายที่เข้าไปลงทุนในเวียดนาม อาทิ บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน)
ที่ลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ขนาดใหญ่ที่ติดตั้งบนดิน (โซลาร์ฟาร์ม) ชื่อโครงการ
DAU TIENG 1 และ 2 ขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง
420 เมกะวัตต์ เพื่อจำหน่ายให้กับการไฟฟ้าเวียดนาม (EVN)
และยังมีโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ Phu Yen TTP ขนาดกำลังการผลิต 257
เมกะวัตต์ที่อยู่ระหว่างขยายการลงทุน
ขณะที่บิ๊กธุรกิจพลังงานไทยอีกราย คือ
บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ได้ส่งบริษัทย่อย Gulf
International Holding Pte.Ltd เข้าไปซื้อหุ้นเพื่อพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานลมบนบก
ในโครงการ la Pech 1 และ 2
มีกำลังการผลิตรวม 100 เมกะวัตต์ เพื่อจำหน่ายไฟให้กับ EVN
ในปี 2565 และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์
TTCIZ-01 และ 02 กำลังการผลิต 50 เมกะวัตต์
ทั้งยังอยู่ระหว่างการเสนอต่อรัฐบาลเวียดนามเพื่อพัฒนาโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติขนาดกำลังการผลิต
6,000 เมกะวัตต์
นอกจากนี้ยังมีบริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน)
ที่ลงทุนซื้อโรงไฟฟ้าพลังงานลม El Wind Mui Dinh ขนาดกำลังการผลิต
37.6 เมกะวัตต์ และบริษัทราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)
ที่ลงทุนโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม Thanh Phong ขนาดกำลังการผลิต
29.7 เมกะวัตต์
ขณะที่ล่าสุดรายงานของสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ
ประจำกรุงเวียงจันทน์ ประเทศลาว ระบุว่า ขณะนี้มีบริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่ของไทย BCPG มีแผนจะสร้างฟาร์มกังหันลมที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน
ขนาด 400,000 ไร่ ที่บริเวณภาคใต้ของ สปป.ลาว เพื่อส่งไฟฟ้าขายให้กับ EVN รัฐวิสาหกิจเวียดนาม ส่งผ่านไปทางชายแดนเวียดนาม และนครดานัง ภาคกลางของเวียดนาม
โดยการลงทุนดังกล่าวจะถือหุ้นผ่านบริษัทอิมแพ็คเอ็นเนอร์จีเอเชีย
ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ร้อยละ 45 และร้อยละ 55 เป็นของบริษัท อิมแพค อิเลกตรอนส์ สยาม จำกัด ซึ่งคาดว่าสัญญาการซื้อขายไฟ (PPA) จะได้ข้อสรุปภายในเดือนตุลาคมนี้ และจะสำเร็จดำเนินการเต็มรูปแบบได้ในปี 2566
ภาพการเคลื่อนไหวของกลุ่มทุนพลังงานไทยไปสู่ประเทศกลุ่ม CLMV นับได้ว่ามีสีสันไม่น้อยในช่วงนี้ ส่วนหนึ่งเป็นผลจากกำลังการผลิตไฟฟ้าของไทยมีล้นเกินกว่าความต้องการในประเทศถึง 40% ทำให้โอกาสที่ขยายการลงทุนใหม่ๆ ในประเทศอาจจะทำได้จำกัด หากเทียบกับโอกาสในการขยายตลาดการลงทุนใหม่ๆ ไปยังเพื่อนบ้านอาเซียนที่กำลังเติบโต
คาดการรณ์ความต้องการใช้ไฟฟ้าในแต่ละประเทศสมาชิกอาเซียน ปี 2020 เทียบกับปี 2015
ที่มา- CO2 Emission Reduction Reference Book. HAPUA Working Group 1 (Generation & Renewable Energy), Heads of ASEAN Power Utilities/Authorities (HAPUA). หน่วย-จิกะวัตต์ (GW)