เรียนรู้ความสำเร็จสตาร์ทอัพเกาหลีใต้ เพื่อสร้าง ‘ยูนิคอร์นเมืองไทย’
สตาร์ทอัพระดับยูนิคอร์น (Unicorn) คือสตาร์ทอัพที่มีมูลค่าการลงทุนที่ได้รับจากนักลงทุนมากกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตัวอย่างธุรกิจสตาร์ทอัพระดับยูนิคอร์นที่รู้จักกันทั่วไป เช่น Uber หรือ Airbnb ของสหรัฐอเมริกา หรือ Xiaomi ของจีน เป็นต้น ซึ่งในประเทศแถบเอเชียนอกเหนือจากประเทศจีน ประเทศเกาหลีใต้ก็นับว่าเป็นประเทศที่มียูนิคอร์นมากที่สุดเป็นอันดับ 5 ของโลก โดยประกอบไปด้วยสตาร์ทอัพระดับยูนิคอร์นจำนวน 12 ราย เป็นรองจากประเทศสหรัฐอเมริกา จีน อังกฤษ และอินเดียเท่านั้น ปัจจัยสู่ความสำเร็จของยูนิคอร์นเกาหลีจึงมีความน่าสนใจและนำมาสู่การถอดบทเรียนในครั้งนี้
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
การที่ธุรกิจสตาร์ทอัพของเกาหลีใต้ประสบความสำเร็จได้นั้นเป็นผลมาจากหลายปัจจัย
จากทั้งตัวธุรกิจสตาร์ทอัพเอง
ปัจจัยภายนอกที่มีส่วนช่วยสนับสนุนและเอื้อต่อการประสบความสำเร็จ เช่น
ประเทศเกาหลีใต้มีโครงสร้างพื้นฐานทางด้านการเข้าถึงโทรศัพท์ อินเทอร์เน็ต
มีจำนวนการใช้ Smartphone สูง
และยังเป็นผู้พัฒนาโครงข่ายอินเทอร์เน็ตอันดับต้นของโลก มีเครือข่ายสำหรับอุปกรณ์ IoT
ครอบคลุมทั่วประเทศ และเริ่มใช้เครือข่าย 5G เป็นประเทศแรกๆ
ซึ่งเอื้อต่อการดำเนินธุรกิจของสตาร์ทอัพ
หรือจำนวนเงินลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัพจากบริษัทร่วมลงทุน (Venture Capital)
ในปี 2561 มีมูลค่าการลงทุนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง
3.42 ล้านล้านวอน
และการสนับสนุนของรัฐบาลเกาหลีใต้ในการขับเคลื่อนวิสาหกิจเริ่มต้นให้เติบโตและแข่งขันได้ในเวทีโลก
เกาหลีใต้มีกระทรวงที่ดูแลวิสาหกิจเหล่านี้โดยเฉพาะและอย่างใกล้ชิด
ชื่อว่า Ministry
of SMEs and Startups (MSS) ซึ่งทำหน้าที่ออกนโยบายและมาตรการเพื่อสนับสนุนระบบนิเวศของสตาร์ทอัพ
โดยดำเนินงานภายใต้แผนที่จะ ‘สร้างเกาหลีใต้ให้เป็นประเทศสตาร์ทอัพ’ โดยการสร้างบรรยากาศ
และระบบนิเวศของประเทศให้เอื้อต่อการทำธุรกิจสตาร์ทอัพ โดยมีการดำเนินมาตรการต่างๆ
เช่น
1. การเปิดตลาดหลักทรัพย์ KONEX
(Korea New Exchange) ให้แลกเปลี่ยนหลักทรัพย์
เพื่ออำนวยความสะดวกให้ SME และผู้ร่วมทุนในการระดมทุนหรือรวบรวมเงินลงทุนก่อนที่จะเข้าจดทะเบียนใน
KOSDAQ
2. นโยบายการส่งเสริมจากภาครัฐ
ที่ช่วยให้สตาร์ทอัพหาผู้มีความสามารถทางด้านไอทีมาร่วมงาน
โดยการเสนอให้ผู้ชายชาวเกาหลีใต้สามารถทำงานเป็น Developer ในสตาร์ทอัพ
แทนที่จะเข้ากรมตามที่กฎหมายกำหนด แต่จะได้รับเงินเดือนในอัตราที่น้อยกว่าปกติ
เพราะ developer เป็นตำแหน่งที่เงินเดือนสูงและสตาร์ทอัพอาจมีทุนไม่เพียงพอที่จะจ้างงานคนเหล่านี้ได้
3. มาตรการเพิ่มเติม เช่น
โปรแกรมที่สนับสนุนการจัดตั้งออฟฟิศ
อย่างที่ทราบกันว่าค่าเช่าที่ในเกาหลีใต้มีราคาที่สูง
รัฐจึงยื่นมือเข้ามาสนับสนุนค่าเช่า โปรแกรมลดภาษีนิติบุคคลของสตาร์ทอัพ และผ่อนคลายข้อกฎหมายให้สตาร์ทอัพในการดำเนินธุรกิจ
นอกเหนือจากการสนับสนุนทางด้านนโยบาย
รัฐบาลเกาหลียังสนับสนุนด้านเม็ดเงิน เช่นโครงการ Technology
Incubation Program (TIPS) ของรัฐบาล
ที่ให้เงินในการสนับสนุนด้านวิจัยและพัฒนา (R&D) กับสตาร์ทอัพ
8 แสนดอลลาร์สหรัฐต่อแห่ง ซึ่งคาดว่าภายในปี 2025 ยอดการลงทุนสนับสนุนของรัฐบาลเกาหลีใต้ในธุรกิจสตาร์ทอัพจะสูงถึง
8 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นงบประมาณส่วนหนึ่งในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและนวัตกรรม
อีกหนึ่งตัวแปรสำคัญในการผลักดันสตาร์ทอัพคือ
บริษัทขนาดใหญ่ที่เป็นรากฐานของระบบเศรษฐกิจเกาหลีใต้
เพราะบริษัทเหล่านี้มีการผันตัวไปเป็นนายทุนให้สตาร์ทอัพ
ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบของการร่วมทุน ลงทุนโดยตรง หรือผ่านโปรแกรม Accelerator
ของตน และแน่นอนว่าความร่วมมือของทั้งภาครัฐและเอกชนนี้
ล้วนแต่เป็นผลดีต่อการเติบโตของสตาร์ทอัพ
แต่ถึงจะได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากรัฐบาล
เกาหลีใต้ก็ยังเผชิญกับ ‘สตาร์ทอัพซอมบี้’ ที่หากจะอธิบายให้ง่ายคือ ‘สตาร์ทอัพที่ไม่ตายแต่ก็ไม่โต’ ซึ่งมีจำนวนมากไม่แพ้ประเทศใดในโลก สตาร์ทอัพซอมบี้เหล่านี้
สามารถขอเงินสนับสนุนจากรัฐบาลเพื่อต่ออายุบริษัทไปเรื่อยๆ
แต่ไม่มีความสามารถเพียงพอที่จะทำเงินหรืออยู่ได้ด้วยกำไรของตนเอง ประกอบกับทัศนคติของคนเกาหลีใต้เองที่ยึดติดกับการทำงานในองค์กรใหญ่
เช่น Samsung, Hyundai, LG กลุ่มคนที่ทำงานในบริษัทใหญ่เหล่านี้จะได้รับการยอมรับว่าประสบความสำเร็จ
หรือแม้หากมีความสนใจในงานสตาร์ทอัพ ก็จะมุ่งเข้าหาแต่สตาร์ทอัพที่ประสบความสำเร็จและเป็นยูนิคอร์นเท่านั้น
เช่น Coupang, Naver Kakao, Talk Line ทำให้สตาร์ทอัพหน้าใหม่ประสบปัญหาในการหาคนที่มีความสามารถเข้ามาร่วมงาน
ตัวอย่างของเกาหลีใต้แสดงให้เห็นว่า สตาร์ทอัพจะเติบโตได้เพราะการสนับสนุนจากรัฐบาลเป็นปัจจัยหลัก
โดยมีความร่วมมือจากภาคเอกชนเป็นแรงกระตุ้นในการขับเคลื่อน ซึ่งเมื่อมองกลับมาที่ไทย
การพัฒนาตลาดสตาร์ทอัพของประเทศยังอยู่ในระยะเริ่มต้นที่ต้องเร่งสร้างสภาพแวดล้อม เพื่อสนับสนุนการเติบโตของสตาร์ทอัพ
ตลอดจนเร่งแก้กฎหมาย กฎระเบียบต่างๆ
ที่เกี่ยวข้องให้เอื้อต่อการลงทุนและการทำธุรกิจสตาร์ทอัพ
นอกจากนี้การเพิ่มจำนวนบริษัทร่วมทุน (Venture Capital) จากทั้งในและต่างประเทศ
ก็จะช่วยสร้างโอกาสให้กับธุรกิจสตาร์ทอัพไทยในการเติบโตและก้าวไปสู่ระดับโลกได้อีกทางด้วย
แหล่งอ้างอิง :