“ที่ทำงาน” อาจไม่ใช่สถานที่โรแมนติก แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคในการบ่มเพาะความสัมพันธ์ที่หวานแหวว
โดยเฉพาะเมื่อต้องทำงานใกล้ชิดกัน เห็นหน้าคนที่ทำงาน มากกว่าคนในครอบครัวเสียอีก
สายใยบางบางก็อาจก่อร่างสร้างตัวเป็นความสัมพันธ์ที่มากกว่าเพื่อนร่วมงาน
หรือเจ้านายกับลูกน้อง
เรื่องของหัวใจ ใครก็ห้ามยาก
แถมความรักยังทำให้โลกสดใสกลายเป็นสีชมพูอีกต่างหาก แต่ถ้าดูแลไม่ดี
ความสัมพันธ์ของคนสองคนอาจสร้างความปวดหัวให้แก่หลายคนได้เหมือนกัน
ที่สำคัญ ความรักที่หวานชื่นอาจทำให้บรรยากาศในที่ทำงานเปลี่ยนไป
หากคนในที่ทำงานรู้สึกว่าพนักงานบางคน ได้รับสิทธิพิเศษหลายอย่างเหลือเกิน
เพราะเป็นภรรยาหรือคนรักของเจ้านาย
ซึ่งความรู้สึกแบบนี้จะกระทบในเรื่องของความสามัคคีหรือความเสมอภาคในหมู่พนักงาน
แถมดราม่าน้ำตาเล็ดอาจเกิดขึ้นได้เช่นกัน
ถ้าชีวิตสมรสหรือความรักของคนในที่ทำงานเดียวกันเกิดล่มกลางคัน
แล้วกระทบมาถึงการทำงาน ซึ่งนายจ้างจะพลอยปวดหัวไปด้วย
เพราะนอกจากปัญหาในเรื่องของงานแล้ว ยังมีเรื่องเกี่ยวกับคนมาให้บริหารจัดการอีก
แน่นอนว่านายจ้างอาจแก้ปัญหาที่หน้างาน
หรือตอนมีปัญหา แต่หากจัดวางแนวทางไว้บ้าง จะช่วยป้องกันปัญหาก่อตัวขึ้นตั้งแต่แรก
ที่สหรัฐมี “love contract”
ซึ่งเป็นข้อตกลงลายลักษณ์อักษรระหว่างพนักงาน 2
คนที่ระบุว่าความสัมพันธ์ระหว่างกันเป็นไปอย่างสมัครใจ ยินยอมพร้อมใจซึ่งกันและกัน
รวมถึงยอมรับว่าอีกฝ่ายสามารถแยกทางได้โดยไม่ต้องกลัวถูกแก้แค้น นอกจากนั้น love contract ของหลายบริษัทยังกำหนดให้พนักงานยอมรับว่าจะมีปฏิสัมพันธ์กันอย่างมืออาชีพในที่ทำงาน
และแจ้งให้ฝ่ายบุคคลทราบหากความสัมพันธ์เกิดยุติลง
Love contract น่าจะมีประโยชน์เป็นพิเศษตอนความสัมพันธ์เริ่มไม่หวาน แต่มันก็ไม่ได้เป็นยาครอบจักรวาลที่แก้ปัญหาได้ทุกสิ่ง
นอกจากนั้นยังต้องพิจารณาว่าเหมาะสมกับวัฒนธรรมและแนวคิดขององค์กรหรือเปล่า
เรื่องของใจ ใครๆก็รูว่ามันละเอียดอ่อน
เมื่อเป็นเช่นนี้ แล้วทั้งนายจ้างและพนักงาน SMEs จะจัดการกับเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ในที่ทำงานได้อย่างไรบ้างล่ะ
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ยอมรับว่าเรื่องของหัวใจเกิดขึ้นได้ทุกที่
อันดับแรกคือนายจ้างควรทำใจยอมรับว่า
ความสัมพันธ์เป็นความต้องการพื้นฐานของมนุษย์
บางครั้งเรื่องของหัวใจก็ไม่เข้าใครออกใคร ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจที่ความรักจะก่อตัวขึ้นในที่ทำงาน
และการห้ามพนักงานปิ๊งกันไม่น่าจะสมเหตุสมผล แถมยังอาจนำพาไปในทิศทางตรงกันข้าม
คือก่อให้เกิดวัฒนธรรมของการแอบมีสัมพันธ์กันแบบลับๆ และวัฒนธรรมของการไม่ไว้ใจกัน
นอกจากนั้น
การปิ๊งกันในที่ทำงานส่วนใหญ่ยังเป็นไปแบบแฮปปี้เอ็นดิ้ง เมื่อพนักงานเริ่มนัดแนะกันอย่างเงียบๆ
ไปดูหนังฟังเพลงกันนอกเวลางาน และไม่แสดงความหวานชื่นในที่ทำงานจนออกนอกหน้ามากนัก
แต่หากมีการกระทำอะไรที่ดูดดื่มจนล้ำเส้น
นายจ้างต้องจัดการอย่างเงียบๆ ทันที ด้วยการเรียกคู่รักมาพูดคุย
เริ่มจากอธิบายข้อวิตก พร้อมเตือนว่าการกระทำแบบไหนที่ยอมรับได้
และแบบไหนที่ยอมรับไม่ได้
กระนั้น ปัญหาอาจเกิดขึ้นได้
หากพนักงานระดับหัวหน้างานเริ่มเอาใจหรือปฏิบัติต่อลูกน้องคนใดคนหนึ่งเป็นพิเศษ
สืบเนื่องจากความสัมพันธ์ที่ไปต่อยอดกันนอกออฟฟิศ ‘ผลิบานเต็มที่’ เมื่อเป็นเช่นนี้ นายจ้างอาจกำหนดให้พนักงานเปิดเผยให้นายจ้างรับทราบ
กรณีที่มีความสัมพันธ์กับหัวหน้า/ลูกน้อง
หรือคนในตำแหน่งอื่นที่มีอำนาจหน้าที่ในการตัดสินใจซึ่งส่งผลต่อผู้ที่มีความสัมพันธ์ด้วย
แนวทางนี้สามารถป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อนหรือการลำเอียง
กรณีที่หัวหน้ามีความสัมพันธ์กับลูกน้อง และต้องประเมินการทำงาน ในบางองค์กรกำหนดแนวทางว่านอกจากรายงานความสัมพันธ์แล้ว
หัวหน้าต้องยุติการประเมินการทำงานของลูกน้องคนดังกล่าว
โดยคนอื่นอาจรับหน้าที่ประเมินแทน
รับมือกับการแยกทาง
อาจมีบางครั้ง
ที่ความสัมพันธ์ของคู่รักในบริษัท มาถึงจุดที่ไม่สามารถประคับประคองได้อีกต่อไป
ในทางทฤษฎีแล้วการแยกทางกันควรเป็นไปอย่างให้เกียรติอีกฝ่าย
แต่สถานการณ์จริงไม่ได้เป็นอย่างนี้เสมอไป
บางครั้งทั้งสองฝ่ายก็ไม่ยอมรับว่าเลิกกันแล้ว
หรืออาจปฏิเสธว่าไม่ได้มีความสัมพันธ์กันตั้งแต่แรก
แต่หากสถานการณ์หนักข้อจนความรักที่ร้าวฉาน
ส่งผลไปถึงการทำงาน ก็ถึงคราวที่หัวหน้าหรือนายจ้างต้องเข้ามาดู
ซึ่งการรับมือกับประเด็นละเอียดอ่อนนี้ จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องทราบข้อเท็จจริง
ไม่ใช่ฟังจากข่าวลือ โดยหากการทำงานของพนักงานต่ำวูบกว่ามาตรฐาน
หรือมีพฤติกรรมผิดแปลกออกไป หรือยอมรับไม่ได้ทุกครั้งที่เห็นหน้าอดีตคนรัก
หัวหน้าหรือนายจ้างก็ต้องพูดคุยกับพนักงานเกี่ยวกับอาการเหล่านี้
และสอบถามถึงสาเหตุ รวมถึงเสนอว่าต้องการให้ช่วยเหลือหรือไม่
แม้การพูดคุยเช่นนี้อาจไม่ได้ผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม
แต่ก็ถือเป็นโอกาสสำหรับหัวหน้าหรือนายจ้างที่จะแสดงความห่วงใยต่อพนักงาน
และเปิดโอกาสให้อธิบายเรื่องราวต่างๆ รวมถึงเสนอความช่วยเหลือ
อย่างไรก็ตาม
หัวหน้าไม่ควรสรุปอะไรเอาเองและทำไปตามที่ตัวเองสรุป เช่น บอกกับ X ว่า “ไม่ได้ให้เข้าร่วมประชุมด้วย
เพราะ Y เข้าประชุม และฉันรู้ว่าเธอกับ Y แยกทางกันแล้ว” เพราะแม้การสรุปเช่นนี้ถูกต้อง
แต่ X อาจตีความว่าตัวเองไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าประชุม และในกรณีที่ X กับ Y เป็นคู่สมรสกันก็อาจหมายความว่าหัวหน้าปฏิบัติต่อ
X ด้อยกว่า บนพื้นฐานของสถานภาพการสมรส
แยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวแบบมืออาชีพ
สำหรับตัวพนักงานเองนั้น
เมื่อแยกทางกับคนรักที่ทำงานอยู่ที่เดียวกันแล้ว
ก็ไม่ควรปล่อยให้เรื่องส่วนตัวเข้ามากระทบต่อการทำงานและชื่อเสียงด้านอาชีพการงานที่สั่งสมมา
ดังนั้นจึงควรพยายามปฏิบัติต่ออดีตคนรัก เหมือนที่ปฏิบัติต่อเพื่อนร่วมงานคนอื่น
สื่อสารกันด้วยคำพูดที่สุภาพและเป็นการเป็นงาน ไม่พึมพำคำพูดเยาะเย้ยถากถาง
หรือขึ้นเสียงอย่างมีอารมณ์ เพราะไม่ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้น
เมื่อความสัมพันธ์มาถึงทางตัน บางคนอาจอดไม่ได้ที่จะบ่นหรือบรรยายข้อเสียของอดีตคนรักให้คนอื่นฟัง แต่ในกรณีการแยกทางกับคนออฟฟิศเดียวกัน นิสัยแบบนี้อาจไม่เวิร์ก ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงการซุบซิบและงดพูดคุยกับเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ เกี่ยวกับรายละเอียดของการแยกทาง ไม่ว่าจะถูกเซ้าซี้ขนาดไหนก็ตาม เพราะไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเติมเชื้อลงไปในดรามาของออฟฟิศ อีกทั้งตัวพนักงานเองก็คงไม่ต้องการให้การแยกทางของตัวเอง กลายเป็นตำนานที่เล่าขานกันไม่จบสิ้นในออฟฟิศ แถมยังอาจถูกใส่สีตีไข่ลงไปอีกต่างหาก
แม้ยังต้องทำงานกับอดีตคนรักในที่ทำงานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เช่น ต้องเจอหน้ากันในที่ประชุม แต่ก็อาจปรับเปลี่ยนบางอย่างเพื่อจะได้ไม่ต้องเจอหน้ากันมากนัก
เช่น อาจเข้าออฟฟิศเช้าหน่อยเพื่อจะได้ไม่ต้องเจอกันตอนเดินเข้าออฟฟิศ
หรือลงไปกินข้าวที่ร้านหากอดีตคนรักกินข้าวในห้องครัวบนออฟฟิศ
แน่นอนว่าเมื่อทำงานที่เดียวกัน
ย่อมต้องได้ยินเรื่องราวของอดีตคนรัก รวมถึงเรื่องที่อดีตคนรักอาจไปเดทคนใหม่
ซึ่งก็ไม่ต้องไปกังวลใจอะไร และทุ่มเทพลังงานไปกับการทำงานจะดีกว่า
การแยกทาง ไม่ว่าจะเกิดกับใคร
หรือที่ไหน มักเต็มไปด้วยความรู้สึกอึดอัด คับข้อง
แต่คงไม่ถึงขั้นต้องลาออกจากงานหรือย้ายไปอยู่อีกจังหวัดหนึ่ง สิ่งสำคัญคือลองรวบรวมกำลังใจ
พยายามผ่านจุดนี้ไปให้ได้ แล้วจะพบว่าสิ่งใหม่ๆ รออยู่ข้างหน้านี่เอง