ตลาดอสังหาริมทรัพย์ครึ่งปีแรก 2563 เริ่มต้นปีด้วยการชะลอตัวต่อเนื่องจากปี 2562 จากปัจจัยลบด้านเศรษฐกิจทั้งภายในประเทศและเศรษฐกิจโลก ปัญหาว่างงาน มาตรการ
LTV และการเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด 19 ทำให้ทุกอย่างหยุดชะงักลง การท่องเที่ยวซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของเศรษฐกิจไทยหยุดลงทันที
ขณะที่ภาคการผลิตและส่งออกในช่วงแรกที่มีการระบาดก็ต้องหยุดลงเช่นกัน
แต่ผู้ประกอบการเริ่มปรับตัวด้วยการขายผ่านระบบออนไลน์ และนำสต๊อกบ้าน
คอนโดมิเนียมสร้างเสร็จมาขายลดราคาแบบที่ไม่เคยทำกันมาก่อน เริ่มตั้งแต่ลด 10% ไปจนถึง 50% ก็มี
ทำให้เห็นยอดขายของเลยบริษัททำสถิติโตสวนกระแสตลาด
แม้สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด 19 ในไทยจะมีทิศทางที่ดีขึ้น ไม่มีผู้ติดเชื้อภายในประเทศติดต่อกันนานนับเดือน จนทำให้มีความหวังว่าในช่วงครึ่งปีหลังเศรษฐกิจจะเริ่มฟื้นตัวได้ แต่อย่างไรก็ตามการแพร่ระบาดในต่างประเทศกลับไม่มีท่าทีว่าจะลดน้อยลง โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา บราซิล รัสเซีย อินเดีย ขณะที่บางประเทศในเอเชียก็เริ่มมีการระบาดรอบ 2 ทำให้มีคำถามตามมาอีกว่า แล้วครึ่งปีหลังตลาดอสังหาริมทรัพย์จะปรับตัวดีขึ้นกว่าช่วงครึ่งปีแรกหรือไม่
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
นายประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลุมพีนี วิสดอม แอนด์ โซลูชั่น จำกัด (LPN Wisdom) บริษัทวิจัยและที่ปรึกษาในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเครือบริษัท
แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (LPN) กล่าวว่า
ตลาดอสังหาริมทรัพย์มีแนวโน้มฟื้นตัวช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา
หลังจากที่มีการผ่อนคลายมาตรการ Lock Down อย่างต่อเนื่อง
ส่งผลให้กำลังซื้อในตลาดค่อยๆ ดีขึ้น
ทำให้ยอดขายและการรับรู้รายได้ของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์มีการปรับตัวสูงขึ้นในช่วงไตรมาส
2 ของปี 2563
ข้อมูลจากการรวบรวมของ LPN Wisdom พบว่า
รายได้รวมของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในไตรมาส
2 ของปี 2563 มีรายได้รวม 72,822.65 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.39% เทียบกับระยะเดียวกันของปี
2562 เป็นผลจากการใช้กลยุทธ์ทางการตลาด
การปรับลดราคาสินค้าเพื่อตอบโจทย์กับกำลังซื้อที่มีอยู่ในตลาด
ในขณะที่ภาพรวมของกำไรสุทธิของทั้ง 36 บริษัทมีแนวโน้มลดลง โดยในไตรมาส
2 ของปี 2563 มีกำไรสุทธิรวม 4,191.53 ล้านบาท ลดลง 54.34%
เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปี 2562
ขณะที่รายได้รวมในครึ่งแรกของปี 2563 ของทั้ง 36 บริษัท
มีรายได้รวม 143,202.37 ล้านบาท ลดลง 19.27% เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปี 2562 กำไรสุทธิในช่วงครึ่งแรกของปี
2563 อยู่ที่ 10,714.80 ล้านบาท ลดลง 55.11% เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปี 2562
การปรับตัวลดลงของรายได้และกำไรของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์
ในช่วงครึ่งแรกของปี 2563 สอดคล้องกับทิศทางการปรับตัวของเศรษฐกิจที่มีการเติบโตลดลง
6.9% ในครึ่งแรกของปี 2563
โดยปรับตัวลดลงต่ำสุดในไตรมาส 2 ของปี 2563 ที่ 12.2%
ตามรายงานของสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
โครงการใหม่ทยอยเปิดตัวไตรมาส 3-4
ขณะเดียวกัน จากผลการศึกษาของ LPN Wisdom พบว่า อาคารชุดที่มีระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ในทำเลใกล้แนวรถไฟฟ้า หรือทำเลที่เดินทางได้สะดวก โดยเฉพาะทำเลคลองสาน-วงเวียนใหญ่
ใกล้รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินช่วงบางซื่อ-ท่าพระ
ได้รับการตอบรับที่ดีจากตลาดมีอัตราการขายเฉลี่ยอยู่ที่ 30-50% ของมูลค่าโครงการที่เปิดขาย ขณะที่ทาวน์เฮ้าส์และบ้านแฝดที่ระดับราคา 2-5 ล้านบาท ในทำเลที่เดินทางสะดวกใกล้แนวรถไฟฟ้า ถนน และรถขนส่งสาธารณะ
อย่างทำเลอ่อนนุช-พัฒนาการ มียอดขายเฉลี่ย
15-18% ของมูลค่าโครงการที่เปิดขาย
ขณะที่บ้านเดี่ยวระดับราคา 6-20 ล้านบาท เป็นระดับราคาที่ได้รับการตอบรับที่ดีจากตลาด
โดยมียอดขายเฉลี่ยอยู่ที่ 10-13%
ของมูลค่าโครงการที่เปิดขายในช่วงที่ผ่านมา
ขณะที่มูลค่าการปล่อยสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยในครึ่งแรกของปี 2563 ตามรายงานของธนาคารแห่งประเทศไทย พบว่ามีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 4.2% ซึ่งสะท้อนถึงอัตราการเติบโตของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงครึ่งแรกของปี 2563
ภาพรวมแนวโน้มของตลาดอสังหาริมทรัพย์เริ่มคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น
หลังจากที่รัฐบาลมีมาตรการผ่อนคลายกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
ทำให้ผู้ประกอบการทยอยเปิดตัวโครงการใหม่ในไตรมาส 3 และไตรมาส 4 ของปี 2563
โดยประมาณว่าจะมีการเปิดตัวโครงการใหม่ในเขตกรุงเทพฯ
และปริมณฑล ในช่วง 5 เดือนหลังของปี 2563 ประมาณ 31,000–41,000 หน่วย
หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 174,000–189,000 เพิ่มขึ้น 20-34% เมื่อเทียบกับ 7 เดือนแรกของปี 2563 ที่มีจำนวนโครงการที่เปิดใหม่ 33,741 หน่วย
หรือคิดเป็นมูลค่า 140,640 ล้านบาท เฉพาะเดือนกรกฎาคม 2563 พบว่ามีจำนวนโครงการที่เป็นตัวใหม่ 5,400 หน่วย
เพิ่มขึ้น 47% เมื่อเทียบกับเดือนมิถุนายน 2563 โดยมีมูลค่า 19,577 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% เมื่อเทียบกับเดือนมิถุนายน 2563
ที่อยู่อาศัยแนวราบมาแรง
อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์
ยังคงมีแคมเปญทางการตลาดเพื่อลดจำนวนสินค้าคงเหลือที่มีอยู่ โดยเฉพาะในกลุ่มคอนโดมิเนียม
จากรายงานผลการดำเนินครึ่งแรกของปี 2563 พบว่าผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยทั้ง
36 แห่ง มีสินค้าคงเหลือและโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนามูลค่ารวม
601,441.55 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 70% ของสินค้าคงเหลือและโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาทั้งตลาด
ซึ่งต้องใช้เวลาในการขายประมาณ 36-50 เดือน
นายประพันธ์ศักดิ์ กล่าวอีกว่า ปัจจุบันมีคอนโดมิเนียมที่เหลือขายอยู่ในตลาด ณ สิ้นไตรมาส 2 ของปี 2563 เท่ากับ 90,561 หน่วย เป็นคอนโดมิเนียมที่สร้างเสร็จพร้อมเข้าอยู่ 17,645 หน่วย ซึ่งต้องใช้เวลาในการขาย 50 เดือน และ 10 เดือนตามลำดับ ทำให้ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ส่วนใหญ่ยังคงชะลอการเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ในช่วงครึ่งหลังของปี 2563 ในขณะที่มีที่อยู่อาศัยในแนวราบที่สร้างเสร็จพร้อมขายจำนวน 12,994 หน่วยอยู่ในตลาด ซึ่งใช้เวลาในการขายประมาณ 6 เดือน ทำให้การเปิดตัวโครงการใหม่ในครึ่งปีหลังเป็นโครงการในแนวราบมากกว่าที่จะเป็นคอนโดมิเนียม