ผ้าอนามัยในบ้านเรา มีวางจำหน่ายนับรวมได้เกินกว่าสิบแบรนด์ แต่ละแบรนด์มีการคิดค้นนวัตกรรมเพื่อนำเสนอแก่ผู้ซื้อ ไม่ว่าจะเป็นคุณสมบัติด้านการซึมซับ ความนุ่มสบาย ช่วยป้องกันการซึมเปื้อน ไปจนถึงการกักเก็บกลิ่น เพิ่มความเย็นสดชื่น ฯลฯ
แต่ทุกแบรนด์ทุกแบบ เกิน 95 เปอร์เซนต์ล้วนเป็นผ้าอนามัยแบบแผ่นมีแถบกาวที่ช่วยยึดติดกับกางเกงชั้นใน ส่วนผ้าอนามัยแบบสอดแทรกตัวบนเซลฟ์ได้บ้าง แต่ยังเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างจำกัด บางคนเลือกใช้ผ้าอนามัยแบบสอดเฉพาะตอนว่ายน้ำ เล่นสงกรานต์ ไปเที่ยวทะเล สำหรับบางคนผ้าอนามัยแบบสอดก็เป็นทางเลือกเพื่อหลีกเลี่ยงอาการระคายเคืองที่เกิดจากการแพ้วัสดุที่ใช้ทำผ้าอนามัยแบบแผ่น
กระแสโลกแห่งผลิตภัณฑ์เพื่อวันนั้นของเดือนที่มาแรงล่าสุดอยู่ในขณะนี้ เห็นจะเป็น “ถ้วยอนามัย” (Menstrual cup) ซึ่งกำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด จากสถิติของเว็บไซต์กูเกิล คำว่า Menstrual cup เป็นคำที่ถูกค้นหาจากระดับ 21 เมื่อปี 2013 เพิ่มเป็น 83 ในปี 2018 (หน่วยวัดมีระดับ 1-100) สอดรับกับยอดการจำหน่ายถ้วยอนามัยของผู้ประกอบการหลายรายที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 10 ปี
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลค์ Facebook bangkokbanksme
ถ้วยอนามัย คืออะไรหรือ?
ถ้วยอนามัย คืออุปกรณ์รองรับประจำเดือนที่สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำได้ ทำจากวัสดุซิลิโคนหรือยางแบบนิ่มมีหลายขนาดให้เลือก โดยผู้ใช้ม้วนพับเจ้าถ้วยที่ว่าสอดเข้าในช่องคลอด เมื่อปล่อยมือขอบปากถ้วยก็จะกางออกแนบพอดีกับด้านในของช่องคลอด สามารถกักเก็บประจำเดือนไว้ได้ราว 4-12 ชั่วโมง จากนั้นจึงนำถ้วยอนามัยออกล้างทำความสะอาด ก่อนนำกลับไปใช้ซ้ำ และสามารถเก็บไว้ใช้ในเดือนถัดไป เพราะอายุใช้งานของถ้วยอนามัยยาวนานหลายปี
ถ้วยอนามัยรุ่นใหม่ยังเพิ่มฟังก์ชั่นการติดวาล์วเปิดปิด ให้สามารถเปิดระบายประจำเดือนออกระหว่างวันเพื่อป้องกันการเต็มและล้น ซึ่งส่วนใหญ่ไม่เกิดขึ้น เพราะตามปกติแล้ว ประจำเดือนในแต่ละวันมีปริมาณวันละไม่เกิน 2-3 ช้อนโต๊ะเท่านั้น
สิ่งที่ปลุกกระแสความนิยมถ้วยอนามัยในนานาประเทศ ส่วนหนึ่งมาจากความใส่ใจเรื่องการรักษาสิ่งแวดล้อม เพราะถ้วยอนามัยเก็บไว้ใช้ซ้ำได้ ขณะที่ผ้าอนามัยแบบแผ่นและแบบสอดส่วนใหญ่มีส่วนผสมของพลาสติกซึ่งสร้างขยะปริมาณมหาศาลจากประชากรเพศหญิงทั่วโลก
อีกประเด็นสำคัญคือ “ค่าใช้จ่าย” วัยเจริญพันธุ์ของผู้หญิง โดยเฉลี่ยเริ่มต้นตอนอายุ 10-11 ปี และมีประจำเดือนต่อเนื่องไปจนถึงอายุประมาณ 49 ปี ถ้าบวกลบคูณหารง่ายๆ ว่าในแต่ละรอบเดือน ผู้หญิงมีประจำเดือน 4-5 วัน ใช้ผ้าอนามัยวันละ 5 แผ่น ก็จะคิดเป็น 25 แผ่นต่อเดือน หรือ 300 แผ่นต่อปี นั่นแปลว่า ผู้หญิงแต่ละคนต้องใช้ผ้าอนามัยตลอดช่วงวัยเจริญพันธุ์ถึง 12,000 แผ่น ถ้าราคาเฉลี่ยผ้าอนามัยตกแผ่นละ 3-4 บาท หมายความว่าในชั่วชีวิต ผู้หญิงเสียค่าผ้าอนามัยราวๆ 50,000 บาท
ในบางประเทศที่ค่าครองชีพสูง คิดออกมาแล้วในชีวิตหนึ่งผู้หญิงต้องเสียค่าผ้าอนามัยมากกว่า 200,000 บาท ถ้าเทียบกับถ้วยอนามัยราคาอยู่ที่ประมาณอันละ 800-1,000 บาท ซื้อสำรองสลับไว้ใช้ตอนทำความสะอาดแค่ 2 อัน ก็ไม่เกิน 2,000 บาท อายุใช้งานนานเท่าอายุของวัสดุประเภทยางและซิลิโคน ก็ถือว่าย่อมเยากว่าแบบใช้แล้วทิ้งมากมายหลายเท่าตัว
ในหลายประเทศมีการถกเถียงกันเรื่องสถานะของผ้าอนามัยว่าควรเป็น “สินค้าควบคุม” เพราะเป็นความจำเป็นขั้นพื้นฐานหรือเป็นสินค้าทั่วไปที่ต้องจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ขณะที่บางประเทศจัดให้ผ้าอนามัยเป็น “สินค้าฟุ่มเฟือย” ที่ถูกเก็บภาษีสูงกว่าอัตราปกติเช่นเดียวกับสินค้าอีกหลายประเภทสำหรับผู้หญิง โดยประเทศที่มีการเคลื่อนไหวเรียกร้องให้รัฐบังคับใช้มาตรการยกเว้นภาษีผ้าอนามัยได้สำเร็จ อาทิ ออสเตรเลีย แคนาดา อินเดีย และสหรัฐอเมริกาในบางมลรัฐ แต่ถ้าเทียบกันแล้ว ถ้วยอนามัยก็ประหยัดกว่าอยู่ดี
ด้วยเหตุนี้ ถ้วยอนามัยจึงกลายเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ได้รับความสนใจจากผู้หญิงทั่วโลกอยู่ในขณะนี้ และร้านค้าปลีกแบรนด์ดังไม่ว่าจะเป็นห้าง Walmart หรือร้าน Boots ในหลายประเทศเริ่มวางจำหน่ายถ้วยอนามัยบนเชลฟ์กันแล้ว ส่วนบ้านเรายังไม่มีวางขายทั่วไป แต่สามารถสั่งซื้อผ่านร้านค้าออนไลน์
นับเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้หญิงยุคใหม่ที่ต้องการความคล่องตัวในชีวิตประจำวันอยู่ไม่น้อย