ไมโครพลาสติก (Microplastic) ภัยเงียบคุกคามสิ่งมีชีวิตในระบบห่วงโซ่อาหาร
อันเป็นผลพวงมาจากการใช้พลาสติกเป็นบรรจุภัณฑ์สินค้าต่างๆ ซึ่งคิดค้นพบมาตั้งแต่ปี
ค.ศ.1863 เมื่อเวลาผ่านมากว่าร้อยปีจึงได้รู้ว่าเจ้าพลาสติกที่มนุษย์นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายทั่วโลกนั้นเป็นตัวการทำลายสิ่งแวดล้อม
ทำลายสิ่งมีชีวิตอื่นในท้องทะเลและยังส่งผลย้อนคืนสู่มนุษย์ในทางอ้อม
โดยเฉพาะขยะพลาสติกที่ไหลลงสู่ทะเลตัวการสำคัญในการคุกคามสิ่งมีชีวิต ระบบนิเวศน์ในท้องทะเลและห่วงโซ่อาหาร ซึ่งมีงานวิจัยมากมายช่วยยืนยันว่าไมโครพลาสติกที่ตกค้างในท้องทะเลนั้น สามารถทำลายสิ่งมีชีวิตในทะเลให้สูญพันธุ์ไปจนสามารถถ่ายโอนมาอยู่ในร่างกายของมนุษย์ได้ จากการตกค้างปนเปื้อนอยู่ในอาหารและสิ่งแวดล้อม
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
Microplastic ผลพวงจากขยะพลาสติก
ไมโครพลาสติก เป็นพลาสติกที่มีอนุภาคเล็กขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางน้อยกว่า
5 มิลลิเมตร เกิดจากพลาสติกที่ถูกผลิตขึ้นมาใหม่
มีขนาดเล็กมาตั้งแต่แรกเริ่มเพื่อวัตถุประสงค์ในการใช้งานหลากหลาย เช่น
เม็ดบีดส์สครับผิว (microbeads) ในโฟมล้างหน้า
ครีมขัดสครับผิว ซึ่งมีขนาดเล็กกว่า 5 มิลลิเมตร และเกิดจากการแตกหักออกจากตัวโครงสร้างของผลิตภัณฑ์พลาสติก
ทั้งจากกระบวนการทางเคมี กายภาพ และชีวภาพ
เช่น การซักล้าง เปลี่ยนแปลงรูปร่าง แตกหัก ย่อยสลาย ผุพัง ล้วนเป็นหนทางแห่งการทำให้เกิดไมโครพลาสติกออกมาสู่สิ่งแวดล้อมภายนอกได้ทั้งสิ้น
โดยพลาสติกขนาดเล็กเหล่านี้จะล่องลอยไปตกค้างในสภาพแวดล้อม ปนเปื้อนอยู่ในดิน น้ำ
อากาศ ยากต่อการกำจัด เพราะไม่ง่ายในการจัดการเหมือนอย่างถุงพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง
ที่มีการรณรงค์ให้เลิกใช้กันอยู่ในปัจจุบัน
ด้วยขนาดเล็กจิ๋วของมันนี่เอง จึงทำให้ไมโครพลาสติกเดินทางเคลื่อนย้ายไปยังสถานที่ต่างๆ
ได้ง่าย แค่เพียงมีลมและน้ำเป็นพาหนะนำพาไป ซึ่งปลายทางสุดท้ายแล้วจะไปหยุดสะสมอยู่ในท้องทะเล
และเมื่อใดก็ตามที่ไมโครพลาสติกเหล่านี้เดินทางไปสู่ท้องทะเลได้
หายนะก็จะบังเกิดแก่สิ่งมีชีวิตในท้องทะเลที่สามารถส่งผ่านมาถึงมนุษย์ได้จากระบบห่วงโซ่อาหาร
หายนะที่เกิดจาก Microplastic
งานวิจัยตรวจพบการตกค้างของไมโครพลาสติกในสัตว์ทะเล
รศ.ดร.สุชนา ชวนิชย์ อาจารย์ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะวิทยาศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (AIT) ได้ทำการศึกษาถึงผลกระทบของไมโครพลาสติกในสัตว์ทะเลที่มีเปลือกแข็งบริเวณชายฝั่งภาคตะวันออกของประเทศไทย
3 แห่ง ซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร Marine Pollution Bulletin ในปี 2017 พบว่า
ค่าเฉลี่ยการปนเปื้อนไมโครพลาสติกในสัตว์ทะเลเปลือกแข็งสูงถึง
0.2–0.6 อนุภาคต่อสัตว์ทะเล มากกว่า 90% ที่พบเจอล้วนมีไมโครพลาสติกสะสมอยู่ รวมไปถึงปะการังด้วย
โดยพลาสติกขนาดเล็กเหล่านี้อาจกลายเป็นอาหารปลาผิวน้ำ
จากสภาพความจริงที่ว่าพลาสติกไม่สามารถย่อยสลายได้เองตามธรรมชาติ
แต่จะแตกตัวออกเป็นชิ้นเล็กๆ และยังคงอยู่ในสิ่งแวดล้อมได้ยาวนานเป็นหลายร้อยปี
เมื่อสัตว์ทะเลกินเข้าไปขยะพลาสติกขนาดเล็กนี้จะส่งผลกระทบต่อกระเพาะอาหาร
แม้จะมีบางส่วนถูกขับถ่ายออกมา ก็ยังคงเหลือบางส่วนที่ฝังตัวลงไปในกระเพาะ ทำให้เกิดการระคายเคืองและก่อให้เกิดโรคมะเร็งได้
ด้วยขนาดที่เล็กเทียบเท่ากับเชื้อแบคทีเรียและไวรัส
ทั้งนี้มีการคาดการณ์ถึงผลเสียที่อาจเกิดขึ้นกับมนุษย์ได้ในแบบเดียวกับที่ศึกษาทดลองจากสัตว์ทะเล
เพียงแต่กับมนุษย์อาจใช้ระยะเวลานานกว่าจะเห็นผล
ด้วยยังเป็นเรื่องใหม่ที่กำลังทำการศึกษาทดลอง
แต่มีการคาดการณ์ว่าหากคนเราทานอาหารทะเลที่มีไมโครพลาสติกปนเปื้อนเข้าไปเป็นประจำ
อาจทำให้เกิดโรคภูมิแพ้ได้ง่าย ทำให้เกิดมะเร็งในกระเพาะอาหาร
รวมถึงส่งผลเสียต่อระบบไหลเวียนโลหิต
ด้วยขนาดที่เล็กจนสามารถเข้าไปในเส้นเลือดได้
ไมโครพลาสติกจากสัตว์ทะเลเข้าสู่ร่างกาย
โดยการรับประทานอาหารจากทะเลเข้าไป ซึ่งมีการวิจัยพบว่าในปลาทู
1 ตัวจะพบชิ้นส่วนของไมโครพลาสติกสูงถึง 78 ชิ้น และพบไมโครพลาสติกในกระเพาะปลาทูตัวอย่างที่สุ่มตรวจทุกตัว
มีทั้งพลาสติกที่มีลักษณะเป็นเส้นใย แท่งสีดำและกลิตเตอร์ จึงเป็นที่น่าห่วงว่าชิ้นส่วนพลาสติกเล็กๆ
เหล่านี้จะถูกส่งต่อผ่านการทานปลาทูโดยตรง ในเมนูยอดนิยมอย่างแกงไตปลาที่นำส่วนกระเพาะปลามาปรุงแต่ง
ไปจนถึงการทานปลาทูตามปกติ นั่นเท่ากับว่าขยะพลาสติกชิ้นเล็กๆ ที่ปนเปื้อนมากับอาหารจะเดินทางเข้าสู่ระบบทางเดินอาหารของมนุษย์ได้ตามห่วงโซ่อาหาร
และก่อให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพดังข้อสันนิษฐานของ รศ.ดร.สุชนา ชวนิชย์ ข้างต้น
ออร์บ มีเดีย (Orb Media)
ยังตรวจสอบพบอนุภาคของพลาสติกขนาดเล็กปนเปื้อนมากับน้ำดื่มแบบบรรจุขวด จากการศึกษาตัวอย่างน้ำดื่มบรรจุขวดกว่า
250 ขวด ของ 11 ยี่ห้อจาก 9 ประเทศ ได้แก่ บราซิล, จีน,
อินเดีย, อินโดนีเซีย, เคนยา,
เลบานอน, เม็กซิโก, สหรัฐฯ
และไทย ที่พบอนุภาคพลาสติกใน 93% ของตัวอย่างทั้งหมดในน้ำดื่มยี่ห้อทั่วไปและยี่ห้อดังอีก
6 แบรนด์ และยังมีข้อสันนิษฐานว่าพลาสติกขนาดเล็กเหล่านี้อาจหลุดเข้าไปสู่ระบบทางเดินลมหายใจของมนุษย์เราผ่านการหายใจเข้าไปได้ด้วย
The Environment Agency Austria หน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อมของออสเตรีย ได้ทำการทดลองนำอุจจาระของมนุษย์จำนวน
8 คน จาก 8 ประเทศ ได้แก่ ประเทศ ออสเตรีย,อิตาลี,ฟินแลนด์,เนเธอร์แลนด์,โปแลนด์,ญี่ปุ่น,รัสเซีย และสหราชอาณาจักร
มาทำการทดสอบหาไมโครพลาสติกตกค้างในร่างกายจากห่วงโซ่อาหาร ซึ่งผู้เข้าร่วมทุกคนทานอาหารเป็นปกติ
มีจำนวน 6 คนที่ทานปลาทะเล พบว่าตรวจเจอไมโครพลาสติกจากอุจจาระของผู้ที่ร่วมการทดสอบทุกราย
มีทั้งชนิด Polyethylene terephthalate ที่ใช้ผลิตขวดน้ำดื่ม,
Polypropylene ที่ผลิตถุงร้อนใส่อาหาร แก้วโยเกิร์ต และ Polyvinyl
Chloride หรือ PVC ที่ใช้ผลิตฟิล์มห่ออาหาร,
พลาสติกแบบบางที่ใช้หุ้มห่อบรรจุภัณฑ์ โดยอุจจาระทุก10
กรัมจะพบอนุภาคของไมโครพลาสติกจำนวน 20 ชิ้น
นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยที่ระบุว่าพบไมโครพลาสติกผสมอยู่ในเกลือ
โดยเป็นผลการศึกษาร่วมระหว่างศาสตราจารย์ซึง-คยู คิม (Seung-Kyu Kim) แห่งมหาวิทยาลัยแห่งชาติอินชอน และกรีนพีซ
เอเชียตะวันออก เพื่อตรวจสอบการปนเปื้อนของ Microplastic ที่เป็นพลาสติกขนาดจิ๋วในเกลือ
ซึ่งผลการวิจัยพบว่ามี ไมโครพลาสติกตกค้างปนเปื้อนอยู่ในเกลือจากทุกแบรนด์ต่างๆ
ทั่วโลก
เรื่องไมโครพลาสติกจึงไม่ใช่ปัญหาที่ส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมและสัตว์ทะเลจนมนุษยชาติจะนิ่งนอนใจได้
เพราะสุดท้ายแล้วทุกสิ่งที่มนุษย์ทำต่อสิ่งแวดล้อมบนโลกใบนี้
จะย้อนผลคืนกลับมาสู่ตัวมนุษย์เองแบบเลี่ยงไม่พ้น แม้จะใช้เวลายาวนานกว่าร้อยปีนับตั้งแต่มีการคิดค้นพลาสติกขึ้นใช้บนโลกนี้ก็ตาม
แนวทางการรับมือกับ Microplastic
การสร้างความรับรู้ให้แก่ผู้คนทั่วโลกถึงการมีอยู่ของไมโครพลาติกเป็นแนวทางที่ทั่วโลกต้องให้ความสำคัญ
รวมไปถึงการลดการผลิตหรือจำหน่ายไปจนถึงนำมาใช้
เพื่อไม่ให้เกิดไมโครพลาสติกที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ปนเปื้อนตกค้างในสิ่งแวดล้อม ปัจจุบันได้นำไปสู่ความพยายามทั้งในระดับโลก
ระดับประเทศ และระดับท้องถิ่นเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว
ในปี พ.ศ. 2555 ประเทศสหรัฐอเมริกา แคนาดา และยุโรปบางประเทศได้เริ่มรณรงค์ให้ประชาชนตระหนักถึงผลกระทบและอันตรายจากการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีไมโครพลาสติก ประเภทเม็ดไมโครบีดส์เป็นส่วนผสม ซึ่งสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐอเมริกา ได้ผ่านพระราชบัญญัติว่าด้วยการปลอดเม็ดไมโครบีดส์ในแหล่งน้ำให้มีผลบังคับใช้ในสหรัฐอเมริกาภายในปีเดียวกัน โดยสั่งห้ามผลิต จัดจําหน่าย รวมถึงขายผลิตภัณฑ์ที่มีเม็ดไมโครบีดส์เป็นส่วนประกอบ ครอบคลุมไปถึงผลิตภัณฑ์เครื่องสําอางที่ชําระล้าง ผลิตภัณฑ์ทําความสะอาด ผลัดเซลล์ผิว และมีแนวโน้มว่าจะครอบคลุมไปถึงผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ด้วย
ในส่วนของไมโครพลาสติกที่เกิดจากการผุกร่อนแตกออกจากโครงสร้างเดิม
หากมีการควบคุมเรื่องการกำจัดขยะอย่างถูกต้อง
ลดการใช้พลาสติกและไม่ปล่อยให้รั่วไหลลงสู่ทะเล ไปจนถึงเน้นการนำกลับมาใช้ใหม่
ก็อาจช่วยลดจำนวนไมโครพลาสติกที่จะหลุดออกมาปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อมได้
แต่การคาดหวังว่าปัญหานี้จะหมดไปจากโลกคงเป็นไปได้ยากพอๆ
กับการจะสั่งให้ทุกประเทศทั่วโลกงดใช้พลาสติกนั่นเลยทีเดียว
และตราบใดที่มนุษย์ยังไม่รับรู้ถึงการมีอยู่ของไมโครพลาสติก
และไม่มีหน่วยงานองค์กรมาช่วงรณรงค์
รวมถึงโทษภัยของไมโครพลาสติกที่มีต่อมนุษย์ในวันนี้ยังไม่ได้รับการยืนยันชัดเจน
เรื่องที่จะช่วยลดปริมาณการใช้ขยะพลาสติกไปจนงดใช้ก็คงเป็นไปได้ยาก พอๆ กับการเสกกระดาษเปล่าให้เป็นเงินนั่นเลยล่ะ.
แหล่งอ้างอิง :
https://www.greenpeace.org/thailand/explore/resist/plastic/harm-plastic/
https://www.sciencedirect.com/science/article/pii/S0025326X17304903?via%3Dihub
https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/22042435/
https://www.bbc.com/thai/thailand-49671448