โรคไมเกรนถือเป็นโรคที่มีลักษณะเฉพาะตัวที่แตกต่างจากอาการปวดหัวทั่วไป
ดังนั้นการซื้อยารับประทานเองหรือการได้รับยารักษาที่ไม่เหมาะสม
นอกจากจะไม่ช่วยให้อาการดีขึ้นแล้ว ยังอาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่เราไม่คาดคิดอีกด้วย
ข้อมูลโดย นายแพทย์สุรศักดิ์ โกมลจันทร์ อายุรแพทย์ด้านโรคระบบประสาท สถาบันประสาทวิทยา กล่าวว่า "โรคไมเกรนเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น พันธุกรรมที่คนในครอบครัวมีประวัติ การเกิดจากส่วนของสมองและก้านสมองไวต่อสิ่งกระตุ้นรอบตัว ฮอร์โมนเปลี่ยน ความเครียด ซึ่งปัจจุบันประเทศไทย มักพบผู้ป่วยโรคไมเกรนในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย ในช่วงอายุระหว่าง 20-40 ปี และอาจมีถึง 10 ล้านคน
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
โดยส่วนมากเป็นคนวัยทำงานที่ได้รับผลกระทบต่อการทำงานหรือชีวิตประจำวันมากที่สุด
อาการปวดของไมเกรนสามารถปวดได้ทั้งปวดหัวข้างเดียวหรือสองข้างก็ได้
และการปวดเป็นได้ทั้งปวดตุบๆ หรือปวดจี๊ดๆ ปวดตึง ที่ขมับข้างเดียวหรือสองข้าง
หรือปวดตรงช่วงท้ายทอยก็ได้ และในรายที่ปวดมาก มักจะมีอาการข้างเคียงร่วมด้วย เช่น
คลื่นไส้ ไวต่อแสง เสียง รวมทั้งความไวต่อการเคลื่อนไหวร่างกาย และแรงกระแทก
ซึ่งอาการเหล่านี้ล้วนส่งผลต่อการดำเนินชีวิตทั้งสิ้น
โรคปวดศีรษะไมเกรนสามารถแบ่งย่อยออกเป็นกลุ่มใหญ่ๆ
ได้เป็น 2 กลุ่ม ได้แก่
1. กลุ่มที่ไม่มีอาการนำมาก่อนปวดศีรษะ
(Migraine without aura)
2. กลุ่มที่มีอาการนำมาก่อน (Migraine with aura) อาการที่พบบ่อย คือ
เห็นมีแสงขาวเป็นเส้นหยักๆ หรืออาจจะเห็นเป็นแบบอื่นก็ได้
ก่อนจะตามมาด้วยอาการปวดศีรษะ
อาการต่างๆ ของโรคไมเกรนจะเกิดขึ้นหรือไม่เกิดขึ้นนั้นขึ้นอยู่กับสิ่งกระตุ้นคือ
ความเครียด ฮอร์โมนและอารมณ์ในร่างกาย การอดนอนเป็นเวลานาน การรับประทานอาหาร
สิ่งแวดล้อม การใช้ยา กลิ่นน้ำหอม กลิ่นบุหรี่
รวมไปถึงผู้หญิงที่อยู่ในระหว่างการมีประจำเดือนเข้ามาเกี่ยวข้องก็อาจทำให้เกิดเป็นไมเกรนได้
อย่างไรก็ตาม
โรคไมเกรนในผู้ป่วยแต่ละรายจะมีอาการแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับสภาวะทางร่างกาย
และปัจจัยแวดล้อมที่เป็นสิ่งกระตุ้นที่ก่อให้เกิดอาการไมเกรน
ซึ่งผู้ป่วยควรสังเกตอาการของตนเองเพื่อประโยชน์ต่อการรักษา
และที่แนะนำคือหากมีอาการของไมเกรนอยู่บ่อยครั้ง และรุนแรงจนไม่สามารถรักษาได้ด้วยยาแก้ปวด
ควรไปพบแพทย์เพื่อขอคำปรึกษาเกี่ยวกับอาการและการรับยาที่เหมาะสมและตรงกับอาการ
นายแพทย์สุรศักดิ์ ระบุอีกว่า ในฐานะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคระบบประสาทและสมอง ค่อนข้างมีความกังวลในเรื่องที่ผู้ป่วยซื้อยารักษาตนเอง ซึ่งถ้าใช้บ่อยๆ โดยไม่พบแพทย์เพื่อรักษาอาการที่ถูกต้อง อาจนำไปสู่โรคปวดศีรษะจากการใช้ยาบ่อย และอาจจะทำให้การรักษาไมเกรนไม่ได้ผลด้วยเลยก็ได้ อาการปวดศีรษะที่เป็นบ่อยๆ ควรพบแพทย์เพื่อได้รับการวินิจฉัยที่ถูกต้อง เพราะอาการปวดศีรษะสามารถเกิดได้จากหลายๆ โรค การได้รับการวินิจฉัยที่ถูกต้อง จะช่วยให้การรักษาได้ตรงจุดที่สุด ผู้ป่วยควรสังเกตุความถี่ในการปวดแต่ละเดือน ระยะเวลาปวด ตำแหน่งที่ปวด สิ่งกระตุ้นที่ทำให้ปวด ถ้ามีข้อมูลเหล่านี้จะเป็นการช่วยกันระหว่างแพทย์และผู้ป่วยทั้งในการวินิจฉัยและดูแลรักษา
สำหรับการรักษาด้วยการใช้ยาในโรคไมเกรน สามารถแบ่งยาออกเป็น 2 กลุ่ม
คือ
1. ใช้รักษาอาการปวดแบบเฉียบพลัน:
จะใช้เฉพาะช่วงที่เกิดอาการปวดไมเกรนเท่านั้น ซึ่งวิธีการรับประทาน คือ
ควรรับประทานทันทีที่เกิดอาการปวดไมเกรน
และไม่ควรปล่อยให้เกินนานครึ่งชั่วโมงหลังเกิดอาการ เพราะจะทำให้ยาออกฤทธิ์ได้น้อยลง
2. กลุ่มยาสำหรับใช้ป้องกัน:
การรับประทานยาประเภทนี้ ผู้ป่วยจำเป็นต้องรับประทานอย่างสม่ำเสมอเป็นประจำทุกวัน
เพื่อช่วยลดความรุนแรงและความถี่ของอาการปวดศีรษะไมเกรน
ซึ่งสามารถช่วยลดได้ถึงร้อยละ 50
แต่อาจมีผลข้างเคียงในเรื่องของน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น ผมร่วง
และการทำงานของสมองช้าลง
ข้อดีในทุกวันนี้คือ นอกเหนือจากการใช้ยารักษาอาการปวดไมเกรนแล้ว ยังมีนวัตกรรมเทคนิคการรักษาอื่นๆ ที่จะช่วยบรรเทาอาการปวดได้อีกด้วย