ถ้าพูดถึงโมอายหลายๆ คนอาจจะนึกภาพออกว่ามันคือรูปปั้นหน้าคนตัวใหญ่ๆ ที่ถูกฝังอยู่ในดิน ซึ่งที่มาที่ไปของรูปปั้นนี้คืออะไร เกิดขึ้นได้ไง ตั้งอยู่ที่ไหน และคนสมัยก่อนเค้าใช้วิธีการใดถึงทำให้รูปปั้นขนาดหลายสิบตันสามารถเคลื่อนตัวไปยังจุดต่างๆ ของเกาะได้ นี่เป็นสิ่งที่หลายๆ คนอาจไม่เคยรู้ วันนี้เราเลยจะมาพาทุกคนไปทัวร์เกาะอีสเตอร์ที่ตั้งอยู่ที่มหาสมุทรแปซิฟิกกันเอง ขอบอกเลยว่าเรื่องราวของโมอายนี่เป็นอะไรที่น่าสนใจ และลึกลับซับซ้อนมากจริงๆ ค่ะ ถ้าพร้อมแล้วก็ไปชมกันเลย
ไม่พลาดทุกข้อมูล
ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลค์ Facebook bangkokbanksme
ทำความรู้จักจุดเริ่มต้นของตำนานโมอาย
โมอายนี้เป้นรูปปั้นอยู่บนเกาะอีสเตอร์นี่แหละ ซึ่งเป็นเกาะโดดเดี่ยวกลางมหาสมุทรแปซิฟิก มีพื้นที่ประมาณ 160 ตารางกิโลเมตร ซึ่งชื่อของเกาะอีสเตอร์นี้มาจากการที่นักสำรวจคนแรกที่ค้นพบเกาะนี้เขาเดินทางมาในวันอีสเตอร์ในปี ค.ศ. 1722 นั่นเอง ทำให้เขาตั้งชื่อเกาะแห่งนี้ว่า เกาะอีสเตอร์
จุดเริ่มต้นตำนานโมอายบนเกาะอีสเตอร์
มีตำนานเล่าขานกันว่า โมอายบนเกาะนี้เนี่ยเกิดจากการที่ชนพื้นเมืองที่อาศัยอยู่บนเกาะนั้นได้สร้างรูปปั้นหินขึ้นมา
ซึ่งก็คือโมอายนี่เอง และเป็นการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่บนเกาะแห่งนี้จนหมดสิ้น ทำให้ผู้คนอดอยาก
จนแทบจะเกิดการสูญสิ้นเผาพันธุ์ของคนบนเกาะเลยทีเดียว
ซึ่งจากตำนานเนี่ยเขายังบอกอีกด้วยว่ารูปปั้นนี้ถูกสร้างขึ้นเมื่อ 1,000 กว่าปีก่อน เพื่อใช้เป็นตัวแทนของบรรพุบุรษที่ล่วงลับไป ทำให้บนเกาะอีสเตอร์นี้มีรูปปั้นโมอายมากกว่า 900 ตัว ทั้งเล็ก ทั้งใหญ่ หนัก 82 ตันก็มี และตัวที่ยังสร้างไม่เสร็จนี่มีขนาดตัวถึง 21 เมตร หนัก 270 ตันกันเลยทีเดียว
คนสมัยก่อนใช้อะไรในการเคลื่อนย้ายโมอายหนักหลายสิบตัน?
เป็นคำถามที่คาใจคนสมัยก่อนยาวจนถึงสมัยนี้เลยล่ะ
เพราะดูจากวิทยาการในยุคนั้นแล้วแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่มนุษย์เราจะเคลื่อนย้ายหินหนักขนาดนี้ได้
ซึ่งทำให้จากการวิเคราะห์ของคนสมัยใหม่ได้บอกเอาไว้ว่า
ชาวบ้านในตอนนั้นใช้ท่อนไม้จำนวนมากสำหรับรับเป็นลูกกลิ้งในการขนย้ายโมอาย
และนี่เป็นหนึ่งในสาเหตุความเชื่อที่ว่าชนเผ่านี้ใช้ทรัพยากรแบบสิ้นเปลืองจนหมดเกาะ
เพราะการขนย้ายทำให้ต้องตัดต้นไม้จำนวนมากจนแทบหมดเกาะ ซึ่งส่วนหนึ่งของต้นไม้เหล่านั้นต้องใช้สร้างเรือออกไปหาปลา หาอาหารในทะเล เมื่อต้นไม้ไม่มีให้สร้างเรือ ทำให้พวกเขาจับปลาไม่ได้ และต้องอาศัยการหาอาหารบนบกแทน พอนานเข้าดินก็เสื่อมสภาพลง ปลูกพืชไม่ขึ้น และนำไปสู่หายนะที่ทำให้คนทั้งเกาะเกือบสูญพันธุ์
โมอายได้รับความนิยมจนกลายเป็นหนึ่งในมรดกโลก
ในปี 2533
ที่ผ่านมานี้โมอายแห่งเกาะอีสเตอร์ก็ได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลกด้วยเหตุผลหลายข้อด้วยกันเลยล่ะค่ะ
ทั้งเป็นตัวแทนผลงานที่ถูกสร้างขึ้นจากความคิดสร้างสรรค์อันชาญฉลาดของบรรพบุรุษ
ทั้งเป็นหลักฐานทางวัฒนธรรม และอารยธรรมที่ทำให้คนทั้งโลกได้สัมผัสมาตั้งแต่อดีตจนถึงทุกวันนี้
รวมทั้งโมอายเองยังเป็นตัวอย่างอันโดดเด่นมากๆ ของวัฒนธรรมมนุษย์เรา บ่งบอกถึงวิธีการก่อสร้าง และการลงหลักปักฐานของมนุษย์ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงที่ยังไม่มีนวัตกรรมแต่ก็ยังสร้างสรรค์สิ่งสวยงามแบบนี้ขึ้นมาเป็นตัวอย่างที่ดีที่จะนำไปพัฒนาอนาคตได้ต่อไป
มาถึงขนาดนี้แล้วเชื่อว่าหลายๆ คนก็คงอยากไปลองชมโมอายตัวเป็นๆ กันแล้วใช่มั้ยล่ะ ลองหาโอกาสดีสักครั้งในชีวิตไปเยี่ยมชมเกาะอีสเตอร์แห่งนี้ดูได้เลยรับรองว่าจะไม่ทำให้คุณผิดหวัง และจะเป็นหนึ่งในทริปที่สนุกสนานมากที่สุดในชีวิตของเพื่อนๆ อย่างแน่นอน