เจาะโมเดลสยามพิวรรธน์-เซ็นทรัลพัฒนา ตั้งการ์ดสูงสู้โควิด-19
แม้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 จะเริ่มคลี่คลายลงตามลำดับ แต่ธุรกิจค้าปลีกยังต้องเผชิญกับปัจจัยกดดันต่อไป โดยเฉพาะการสร้างความเชื่อมั่นด้านสุขอนามัยเพราะผู้บริโภคยังกังวลกับการแพร่ระบาดรอบ 2 รวมถึงการบริหารจัดการกับมาตรการทางสังคมที่ต้องเข้มข้น บวกกับกำลังซื้อที่ยังอ่อนแรง ปัจจัยต่างๆ มีผลให้เกิดพฤติกรรมใหม่ซึ่งอาจเปลี่ยนพฤติกรรมตลอดกาล (New normal) ซึ่งถือเป็นเกมใหม่ที่ท้าทายตลาดค้าปลีกเป็นอย่างมาก เนื่องจากยังไม่สามารถคาดการณ์กับความชัดเจนของผู้บริโภคได้ ระยะนี้จึงถือเป็นเพียงด่านแรกที่ต้องค้าปลีกต้องเดินเกมเพื่อ “ตั้งรับ”
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
สยามพิวรรธน์ วางสมการคู่ขนาน Innovative
Health + Retail Ecosystem
ศูนย์การค้าในเครือสยามพิวรรธน์
ซึ่งประกอบด้วยไอคอนสยาม, สยามพารากอน, สยามเซ็นเตอร์ และสยามดิสคัฟเวอรี่ เป็นกลุ่มธุรกิจที่มองสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นภัยคุกคามร้ายแรง
โดยเตรียมพร้อมรับมือตั้งแต่ต้นเดือนกุมภาพันธ์ด้วยงบลงทุนกว่า 16 ล้านบาท สำหรับซื้ออุปกรณ์ต่างๆ เช่น ที่วัดไข้อินฟราเรด
เพิ่มพนักงานทำความสะอาด
กระทั่งมีการผ่อนปรนด้วยการคลายล็อกระยะที่
2 อนุญาตให้เปิดห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้าฯ ได้
ซึ่งเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของธุรกิจค้าปลีก ที่ต้องเปิดให้บริการท่ามกลางความกลัวและวิตกกังวลด้านสุขอนามัยของผู้บริโภค
และปัจจัยนี้ยังจะกลายเป็นตัวแปรสำคัญในชีวิตวิถีใหม่นับจากนี้ไป
โดยสยามพิวรรธน์ได้วางยุทธศาสตร์ในการจัดการกับ Pain Point ของผู้บริโภคด้วยการเรียกความเชื่อมั่นด้านสุขอนามัยผ่านแนวคิด
“Innovative Health & Safety” โดยครอบคลุมใน 3
มิติหลักคือ พนักงานที่จะต้องทำการคัดครองอย่างเข้มข้นทุกวันเนื่องจากต้องใกล้ชิดกับผู้ใช้บริการ,
วางมาตรการ Deep Clean ด้วยการทำความสะอาดทุกพื้นที่ในศูนย์การค้าควบคู่กับการรักษาระยะห่าง
รวมไปถึงเข้มงวดด้านสุขภาพกับพนักงานรับส่งสินค้า
ที่สำคัญมีการยุทธศาสตร์เพื่อความมั่นใจสูงสุดและเป็นแผนต่อเนื่องในระยะยาว
ด้วยการนำเทคโนโลยีเข้ามาปรับใช้ให้สอดรับกับพฤติกรรมการใช้ชีวิต New Normal เช่นลดการสัมผัส ส่งเสริมการใช้ Cashless
หรือ E-Payment ในการชำระค่าบริการต่างๆ
เป็นต้น
นอกจากนั้นได้พัฒนาโมเดลธุรกิจผ่านแนวคิด “Ecotopia” ซึ่งเปิดบริการที่สยามดิสคัฟเวอรี่ในรูปแบบของอีโค่คอมมูนิตี้ที่ใหญ่ที่สุดในเอเซียบนพื้นที่
2,000 ตารางเมตรให้เป็นพื้นที่ของสินค้าเพื่อวิถีชีวิตยุคใหม่และตอบสนอง
Sustainable Living ในทุกมิติ เช่น สินค้าเพื่อสุขภาพและรักษาสุขอนามัย
สินค้าที่ไม่ใช้สารเคมี อาหารออร์แกนิค และสินค้าที่กระบวนการผลิตเป็นมิตรต่อสัตว์และสิ่งแวดล้อมหรือผลิตจากวัสดุเหลือใช้
สินค้า re-use, recycle เป็นต้น
ขณะเดียวกันเครือสยามพิวรรธน์ได้ให้ความสำคัญกับมิติทางสังคมผ่านการสร้างสรรค์ระบบนิเวศของธุรกิจค้าปลีก
(Retail Ecosystem)
เพื่อให้ทุกหน่วยในภาคธุรกิจกลับมาฟื้นตัวได้และกระตุ้นให้เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจ
เริ่มจากแนวคิด New Beginning - New Smile โดยเปิดพื้นที่ให้จำหน่ายสินค้า
27,000 ตร.ม. ให้ผู้ค้ารายย่อยหรือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 และเกษตรกรเข้ามาจำหน่ายสินค้าได้ฟรี ผ่านการจัดกิจกรรมตลาดนัดยิ้มสยาม, กิจกรรมฟื้นใจไทยเป็นต้น
เปิดเกมเร็วผุด Omni Channelทุกมิติ
แรงกดดันจากกระแส New Normal ยังเป็นปฏิกิริยาชั้นดีในการเร่งให้สยามพิวรรธน์เปิดบริการใหม่ๆ โดยเฉพาะการพัฒนาช่องทางขายแบบไร้รอยต่อหรือ Omni Channel เช่น บริการ S-commerce ในรูปแบบ “Luxury Chat & Shop” ที่ให้ช้อปปิ้งออนไลน์กับลักชัวรี แฟล็กชิปสโตร์และจัดส่งถึงหน้าบ้าน ซึ่งขณะนี้มีลักชัวรีแบรนด์ที่ร่วมจำหน่ายในช่องทาง Luxury Chat & Shop จำนวนมาก เช่น Balenciaga, Bally, Boss Hugo Boss, Bottega Veneta, Burberry, BVLGARI, Coach, Dolce&Gabbana, Fendi, Furla, Givenchy, Gucci, Jimmy Choo เป็นต้น
รวมถึงการบริการ
“One Siam & ICONSIAM Chat & Shop” ให้ชอปปิ้งสินค้า
luxury brands, fashion, beauty, dining, living และ entertaining
ได้ทุกที่ทุกเวลาผ่าน One Siam Application และ
Line @One Siam ขณะนี้มียอดดาวน์โหลด One Siam
Application รวมกว่า 200,000 คน และ Line
@One Siam มีสมาชิกกว่า 720,000 คน
นอกจากนี้ยังพัฒนาบริการที่ตอบสนองชีวิตวิถีใหม่
เช่น “Call & Pick Up” ที่สามารถสั่งซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคจากกูร์เมต์มาร์เก็ต
สยามพารากอน, ซูเปอร์มาร์เกต Dear Tummy และ Taka Marche ที่ไอคอนสยามผ่านการลิสต์และสั่งซื้อสินค้าล่วงหน้าและมารับสินค้าในที่นัดหมาย
ล่าสุดได้นำศูนย์การค้าสยาม
เซ็นเตอร์เข้าสู่ช่องทางแพลตฟอร์มดิจิทัลช้อปปิ้งผ่านบริการ “Siam Center Virtual Mall” โดยร่วมกับลาซาด้า เปิดพื้นที่ขายผ่าน
www.lazada.co.th หรือแอปพลิเคชัน LAZADA เพื่อตอบรับกับวิถีใหม่ ซึ่งจะขับเคลื่อนผ่าน 4 ส่วนหลัก
คือ
1. Creator ผู้สร้างสรรค์เรื่องเฉพาะทางที่มีความเชี่ยวชาญ
2. Platform รูปแบบค้าปลีก
3. Supporter ผู้สนับสนุนต่างๆ
4. Customer ลูกค้า
“Center of New Normal Life” ยุทธศาสตร์ใหม่ CPN
สำหรับการ
Re-start ธุรกิจหลังมีมาตรการการคลายล็อกระยะที่ 2 ของบริษัท
เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอ็น ซึ่งมีศูนย์การค้าในเครือ 4 แบรนด์ คือเซ็นทรัลเวิลด์, เซ็นทรัลพลาซา, เซ็นทรัลเฟสติวัล, เซ็นทรัล ภูเก็ต และ เซ็นทรัล
วิลเลจ ลักชูรี่เอาท์เล็ต มีการวางแผนเพื่อสร้างความเชื่อมั่นด้านสุขอนามัยผ่านแนวคิด
“Center of New Normal Life” หรือศูนย์กลางการใช้วิถีชีวิตใหม่อย่างปลอดภัย
Reassure Confidence
โดยการขับเคลื่อนบทบาทของศูนย์การค้ามากกว่าการดูแลลูกค้าระหว่างการเข้ามาใช้บริการเท่านั้น
แต่ต้องสามารถดูแลได้ตลอดเวลาด้วยมาตรฐานความสะอาดปลอดภัยและการมีวินัยในสังคม
เพราะจากนี้ไปศูนย์การค้าไม่สามารถที่จะเป็นเพียง Service
Provider ได้แต่ต้อง Health & Safety Provider ผ่านการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ เช่นมาตรการ Touchless Lift ลิฟต์ไร้สัมผัสที่นำร่องแล้วที่เซ็นทรัลเฟสติวัล อีสวิลล์, เครื่อง UV-C เช็ดบันไดเลื่อน, ตู้ UV-C ทำความสะอาดถุงสินค้า
ขณะเดียวกันได้ร่วมกับพันธมิตรต่างๆ
เช่น หุ่นยนต์วัดอุณหภูมิจาก AIS, หุ่นยนต์ฆ่าเชื้อด้วยรังสี UV-C ของ Central
Food Hall & Tops, Uniqlo มีเครื่อง UV-C ทำความสะอาดเสื้อผ้าหลังลองสินค้า
และ Sephora มีบริการ Find my shade ทดลองเครื่องสำอาง
เป็นต้น
ขณะเดียวกันซีพีเอ็นได้เข้ามามีส่วนร่วมในการสร้างระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนของประเทศ
ด้วยการผ่านแนวคิด Rebuild Economy เปิดพื้นที่ฟรีให้เกษตรกรและเอสเอ็มอีรายย่อยทั่วประเทศรวมกว่า
40,000 ตร.ม. ต่อเนื่อง 3-6 เดือน จากที่ได้นำร่องมาแล้วในโครงการตลาดผลไม้รวมใจที่ให้เกษตรกรผลไม้ส่งออกมีช่องทางกระจายสินค้า
และได้วางแผนสนับสนุนร้านค้าจัด Clearance Sales เพื่อช่วยเหลือร้านค้าและลูกค้าได้เลือกซื้อสินค้าจำเป็นในราคาถูก
รวมถึงการตรึงราคาสินค้าและลดราคาอาหารในศูนย์อาหาร
เติมเกมรุกแพลตฟอร์ม
Omni channel ให้เข้ม
จากมาตรการ
"Work From Home" ทำให้ผู้บริโภคมีประสบการณ์และคุ้นเคยกับการซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น
และมีแนวโน้มที่จะเป็นช่องทางที่บทบาทมากขึ้นสำหรับวิถี New normal ซึ่งกลุ่มธุรกิจในเครือเซ็นทรัลได้วางแผนและพัฒนาช่องทาง Omni
channel มาตามลำดับโดยมีพันธมิตรสำคัญอย่าง JD.COM เข้ามาเสริมทัพจากที่เครือเซ็นทรัลมี Physical ที่แข็งแกร่งเป็นต้นทุนสำคัญอยู่แล้ว
และจากสถานการณ์การแพร่งระบาดของโควิด-19 ซีพีเอ็นมีเป้าหมายที่จะยกระดับ Retail
Ecosystem ให้เติบโตอย่างยั่งยืน โดยประสานจุดแข็งของ Physical
& Online Platform ที่เริ่มจากการเปิดตัวบริการ New
Normal Lifestyle ได้แก่ One Call x One Click และ LINE: @CentralLife, บริการ Drive Thru, บริการ Central Eats ร่วมกับ Grab Food
บริการ Food Delivery & Food Pick Up Counter และบริการล่าสุด Central Life: Chat & Shop ที่นำแนวคิด “เหมือนช้อปด้วยตัวเองจากเซ็นทรัลเวิลด์และเซ็นทรัล วิลเลจ” เข้ามากระตุ้นความสนใจ ทั้งหมดนี้มีแผนพัฒนาอย่างต่อเนื่องด้วยจุดแข็งที่มีคือฐานข้อมูลจาก The 1 ที่สะสมมานานและสามารถที่จะขยายฐานลูกค้าได้ตลอด ซึ่งจะเป็นความได้เปรียบเพราะสามารถที่จะนำมา Design Journey ได้ตรงกับความต้องการมากที่สุด