Mottainai อย่าทิ้งสิ่งที่มีค่า Circular Economy ฉบับคนญี่ปุ่น
ความยากจนนำไปสู่ความอดยากโดยเฉพาะประเทศด้อยพัฒนาและกำลังพัฒนา
ซึ่งจากข้อมูลขององค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็น) รายงานเมื่อปี 2019
ระบุว่าแต่ละปีมีผู้คนมากกว่า 820 ล้านคนทั่วโลกอดยาก ทั้งที่อาหารที่ถูกผลิตขึ้นบนโลกเพียงพอต่อการเลี้ยงดูผู้คนได้มากกว่า
10,000 ล้านคน
โดยคนงานในภาคเกษตรมีสัดส่วน 1 ใน 3 ของแรงงานทั้งโลก เกษตรกรในชนบทผลิตอาหารได้สูงถึง 80% ที่บริโภคกันในประเทศด้อยพัฒนาและกำลังพัฒนา แต่ส่วนใหญ่ผลิตเพื่อส่งออก ทำให้ประเทศดังกล่าวกลับเป็นผู้ที่อดอยากหิวโหยที่สุด ทำให้นึกถึงบรรดาคนมีฐานะอันจะกิน มักจะกินทิ้งกินขว้าง ซึ่งตรงกับสถิติที่ยูเอ็นเคยทำการสำรวจไว้ว่า 30-50% ของอาหารที่ถูกผลิตขึ้นในโลกใบนี้กลายเป็นของเหลือทิ้ง
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
แต่เมื่อย้อนมองคนญี่ปุ่นที่สอนเรื่องการรู้จักคุณค่าของสิ่งของและไม่ใช้ของทิ้งขว้าง
ซึ่งภาษาญี่ปุ่นมีคำว่า Mottainai (มต-ไต-ไน)
ศัพท์คำนี้มีความหมายว่า “น่าเสียดาย” แปลง่ายๆ คือ
หากเรามีของบางสิ่งบางอย่างที่ยังสามารถใช้ได้อยู่แต่กลับโยนทิ้งไป ก็เป็นสิ่งที่เรียกว่า
“น่าเสียดาย” กล่าวกันว่า คนญี่ปุ่นมีจิตสำนึกเรื่องนี้มาก
เพราะเป็นความเชื่อในศาสนาชินโต ว่าทรัพยากรทุกอย่างมีจิตวิญญาณและเป็นเทพเจ้า
จึงควรใช้ด้วยความเคารพ
และด้วยภูมิประเทศที่เป็นหมู่เกาะเล็กๆ
มีทรัพยากรจำกัดและคนหนาแน่น
อีกทั้งยังเคยผ่านสภาวะยากจนแร้นแค้นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
ยิ่งทำให้ต้องกินใช้สิ่งต่างๆ อย่างรู้คุณค่า
ความรู้สึกเสียดายนี้เองที่ช่วยนำพาให้ประเทศญี่ปุ่นรอดพ้นวิกฤติการณ์ต่างๆ มาได้
ต่อเมื่อความเจริญคืบเข้ามา มีความสะดวกสบายแบบสมัยใหม่ ความรู้สึก “น่าเสียดาย”
ก็ค่อยๆ จางหายไป
รัฐบาลใช้หลัก 3Rs ฟื้นฟูเรียกจิตสำนึกคนญี่ปุ่นกลับมา
เมื่อเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจฟองสบู่ในช่วงทศวรรษ
1980 ถึงยุคต้นทศวรรษ 1990 การผลิตพลาสติกเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว
จนกลายเป็นปัญหาขยะระดับประเทศ โดยระหว่างปี 1993-2000
จำนวนขวดพลาสติกที่ผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่า มากกว่า 360,000 ตัน ทำให้ทางรัฐบาลญี่ปุ่นต้องนำคำ “ mottainai” รื้อฟื้นขึ้นมาใช้อีกครั้ง ในการรณรงค์สร้างจิตสำนึกประชาชน เพื่อลดปัญหาสิ่งแวดล้อมจากขยะที่ล้นเกิน
ด้วยหลัก 3Rs คือ
1. reduce (ลด)
2. reuse (นำกลับมาใช้อีก)
3. recycle (แปรรูปกลับไปใช้อีก)
รวมทั้งมีความพยายามคิดค้นการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ด้วยความรับผิดชอบและเคารพต่อธรรมชาติ
การปลุกสำนึกแบบ mottainai ไม่ได้จำกัดแค่ที่ญี่ปุ่น
คำนี้เป็นที่รู้จักแพร่หลายผ่านโครงการ Greenbelt Movement ของนักสิ่งแวดล้อมชาวเคนยา เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ คือ Prof.Wangari
Maathai ซึ่งเธอประทับใจความหมายเชิงลึกของ mottainai เมื่อครั้งที่เดินทางมาเข้าร่วมการประชุมระดับนานาชาติเกี่ยวเนื่องกับพิธีสารเกียวโต
(Kyoto Protocol) ในปี 2005
ทำให้เธอเดินหน้าผลักดันที่จะทำให้ mottainai เป็นสัญลักษณ์การรณรงค์เพื่อสิ่งแวดล้อมในระดับสากลจนได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง
ญี่ปุ่นต้นแบบนานาชาตินำระบบรีไซเคิลพลาสติก
ระบบการจัดการขยะชั้นยอดของญี่ปุ่น
คือ ต้นแบบ และบทเรียนสำหรับนานาประเทศ
ขยะทุกสิ่งตั้งแต่พลาสติกโพลิสไตรีนไปถึงบรรจุภัณฑ์ของยา
สามารถคัดแยกและรีไซเคิลได้
โดยมีพระราชบัญญัติเพื่อการสร้างสังคมแห่งการหมุนเวียนทรัพยากร (The Basic Act for Establishing a Sound Material-Cycle Society) หรือกฎหมายพื้นฐานด้านรีไซเคิล (Basic Recycling Act) ซึ่งบังคับใช้ในปี 2000 เป็นกรอบสำหรับการส่งเสริมเรื่อง 3Rs โดยกำหนดให้ทุกเดือนตุลาคมของทุกปีเป็นเดือนแห่งการโปรโมตเรื่อง 3Rs โดยภาคเอกชนเองก็ให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ เช่น บรรดาซูเปอร์มาร์เก็ต
หรือร้านสะดวกซื้อ มีเครื่องบีบอัดขวดพลาสติกเพื่อแลกเหรียญในการช็อปปิ้ง
จากนั้นพลาสติกที่ชาวบ้านมาแลกก็จะมีการนำไปใช้ทำสิ่งต่างๆ ตั้งแต่เสื้อผ้า พรม
ไปถึงขวดใหม่
ดึงสังคมมีส่วนร่วมควบคู่สร้างจิตสำนึกรับผิดชอบ
ในช่วงปี 2000
รัฐบาลญี่ปุ่นเริ่มบังคับใช้กฎหมายการบริหารจัดการขยะ ของเสีย และการรักษาความสะอาดที่สาธารณะ
โดยดึงภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมควบคู่กับการณรงค์สร้างจิตสำนึกรับผิดชอบจนประสบความสำเร็จอย่างมากในด้านการจัดการของเสีย
โดยมีขยะจากการผลิตและบริโภคที่ไม่ได้นำกลับไปใช้ใหม่เพียงแค่ร้อยละ 5
ซึ่งความสำเร็จของญี่ปุ่นในครั้งนี้ มาจากการที่รัฐบาลสร้างรากฐานการจัดการของเสียอย่างครอบคลุม
ตั้งแต่การทำให้การแยกขยะเป็นเรื่องที่ง่ายสำหรับผู้บริโภค
การเก็บค่าจัดการกับขยะอิเล็กทรอนิกส์ตั้งแต่ตอนซื้อ และการบังคับให้เอกชนเป็นเจ้าของร่วมในโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวกับการจัดการของเสีย
ขณะเดียวกันในระดับชุมชนก็สามารถนำทรัพยากรมาใช้ในการสร้างรายได้ได้อย่างคุ้มค่า
ด้วยการนำภูมิปัญญาท้องถิ่นมาถ่ายทอดเป็นสินค้าหรือบริการ ที่สอดแทรกนวัตกรรม ความคิดสร้างสรรค์
และยึดการพึ่งพาตนเองเป็นสำคัญ อาทิ “โครงการหนึ่งหมู่บ้านหนึ่งผลิตภัณฑ์” หรือ OVOP (One Village One Product) ที่ประสบความสำเร็จและโด่งดังไปทั่วโลก
จากผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นและการท่องเที่ยว
โดยในส่วนผลิตภัณฑ์ต้องมีเงื่อนไข 3
อย่าง คือ
1. คุณภาพต้องคงที่
2. สามารถผลิตได้สม่ำเสมอเพราะ OVOP มีคุณลักษณะอยู่ระหว่างอุตสาหกรรมขั้นพื้นฐานและอุตสาหกรรมขั้นทุติยะ
ที่นำผลผลิตจากอุตสาหกรรมขั้นพื้นฐานมาแปรรูป
3. ผ่านการรับรองมาตรฐาน
และทดลองขายในตลาดก่อนอย่างน้อย 2-3 ปี
ในส่วนของการท่องเที่ยวทางรัฐบาลส่งเสริมด้วยกัน
3 รูปแบบ ได้แก่ การเยี่ยมชมประวัติศาสตร์ การศึกษาดูงาน
และการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม เพื่อให้คนอื่น ๆ
ได้มาสัมผัสวิถีชีวิตและวัฒนธรรมท้องถิ่น และทำให้รายได้เกิดการกระจายไปถึงชุมชน
เพราะคำว่า “mottainai” อย่าทิ้งสิ่งที่มีค่า หรือ
"น่าเสียดาย" โดยเปล่าประโยชน์ ทำให้ชาวญี่ปุ่นสิ้นเปลืองทรัพยากรน้อยลง
และยังนำสิ่งที่ใช้แล้วนำมารีไซเคิลใหม่ กลายเป็นต้นแบบนานาชาติและประเทศไทยนำไปเป็นโมเดลแก้ปัญหาขยะและนำกลับมาใช้ใหม่
ในการช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจเติบโตยั่งยืนในอนาคต
แหล่งข้อมูลอ้างอิง : https://www.weforum.org
https://library2.parliament.go.th