“เงินบาทแข็งค่า ค่าแรงแพง ดันต้นทุนการผลิตพุ่ง” เป็นสถานการณ์ที่สุ่มเสี่ยงต่อการลงทุนในประเทศไทย การหันไปให้ความสำคัญและลงทุนในประเทศที่คาดว่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านระแวกใกล้เคียง เช่น ประเทศเมียนมา ซึ่งกลายเป็นสิ่งที่น่าจับตา หลังเมียนมาเปิดประเทศให้นักลงทุนต่างชาติเข้าไปลงทุนในประเทศได้เต็มที่ พร้อมปรับกฎเกณฑ์ใหม่ลดเงื่อนไข เอื้อนักลงทุนจนเหมือนใส่พานประเคนให้ โดยปักหมุดหมายตาปั้นเมืองมะริดขึ้นมาเป็นเมืองท่าสำคัญ เพื่อเป็นการเปิดประตูเขตเศรษฐกิจการค้าใหม่ของประเทศ
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ทั้งนี้
เมืองมะริดเดิมเป็นเมืองท่าทางทะเล มีความสำคัญด้านการประมง มีทรัพยากรธรรมชาติสมบูรณ์
จัดเป็นเมืองชนบทที่ไม่มีระบบสาธารณูปโภคสำคัญ การคมนาคมไม่สะดวก
แม้จะมีประชากรอาศัยอยู่ในเมืองนี้ถึง 1.4 ล้านคน ก็ตาม
ต่อมาเมียนมาเล็งเห็นความสำคัญในการเปิดประเทศจึงปล่อยให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนในเมืองมะริดได้อย่างอิสระ
เพื่อเป็นตัวช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตและเศรษฐกิจมวลรวมของประเทศ ตลอดจนชีวิตความเป็นอยู่ของพลเมือง
จึงจัดงบประมาณขึ้นมาพัฒนาระบบสาธารณูปโภคในเมืองมะริด
เพื่อกระตุ้นให้เกิดความน่าลงทุนในเขตเมืองนี้ พร้อมผลักดันให้เป็นเมืองเศรษฐกิจใหม่ที่สำคัญต่อไปตามแผนการพัฒนาประเทศ
จนเมืองมะริดกลายเป็นเมืองที่นักลงทุนหมายตา
เมืองมะริด
ส่องธุรกิจน่าจับตาหลังเปิดลงทุนเสรี
ปัจจุบันเมืองมะริดได้พัฒนาไปสู่เมืองอุตสาหกรรมการประมง
ที่มีการเงินสะพัด มีการขยายการเติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้จะอยู่ในสภาพที่เส้นทางการคมนาคมและระบบสาธารณูปโภคยังไม่เสถียรก็ตาม
นายวีระ
ศรีวัฒนตระกูล นายกสมาคมส่งเสริมพัฒนาการค้าการลงทุนประจวบ-มะริด มองว่าปี 2563
ถือเป็นโอกาสทองที่นักลงทุนไทยควรเร่งเข้าไปลงทุนในเมืองมะริด เพราะการเข้าไปลงทุนก่อนย่อมได้เปรียบคู่แข่ง
เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจของมะริดช่วงนี้กำลังบูมต่อเนื่อง
จากรัฐบาลเมียนมาเปิดเมืองให้นักลงทุนต่างชาติเข้าไปลงทุนได้เต็ม 100% โดยเฉพาะธุรกิจภาคอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์และพาณิชย์
เป็นสิ่งที่น่าลงทุนมากที่สุดเพราะกำลังเติบโตแบบก้าวกระโดด นอกจากนี้ยังคาดการณ์ว่า
“ไม่กี่ปีต่อจากนี้มะริดจะเป็นเมืองที่มีการพัฒนาเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจมาก
เพราะปัจจุบันมีการทำถนนจากจุดผ่านแดนด่านสิงขร จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
เชื่อมไปถึงมะริด ซึ่งจะกลายเป็นการเปิดประตูเศรษฐกิจให้มะริดเกิดการค้า การลงทุน
และการท่องเที่ยวมากขึ้น”
หวังนักธุรกิจไทยไหลลงทุนต่อเนื่อง
ปัจจุบันมีนักลงทุนไทยเข้าไปทำธุรกิจในเมืองมะริดมากขึ้น
หนึ่งในนั้นเป็นบริษัทเอกชนไทยที่มีศักยภาพด้านบริหารจัดการน้ำ ที่ได้สัมปทานเข้าไปผลิตน้ำประปาเป็นรายแรก
นี่จึงเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของการเปลี่ยนแปลงในเมืองมะริด
เพราะชาวเมืองจะมีน้ำสะอาดอุปโภคบริโภค
และจะกลายเป็นปัจจัยที่ดึงดูดนักลงทุนให้เข้าไปลงทุนร่วม ซึ่งมีการคาดการณ์กันว่าในอีก
5 ปีข้างหน้า เมืองมะริด
จะมีความพร้อมด้านระบบการคมนาคมที่สะดวกสบาย ระบบประปา ไฟฟ้า
เข้าครอบคลุมทุกพื้นที่ในเขตเมืองมะริด
อู้ ทล่ะตั้น ประธานหอการค้าและสภาอุตสาหกรรมจังหวัดมะริด
ยืนยันพร้อมแนะนำนักธุรกิจไทยรีบเข้าไปลงทุนในเมืองมะริดที่มีแนวโน้มอนาคตสดใส
จากความเสถียรภาพทางด้านการพัฒนาเศรษฐกิจ
รวมถึงการเร่งพัฒนาโครงสร้างขั้นพื้นฐานในระบบคมนาคม
เพื่อผลักดันให้เมืองมะริดเป็นศูนย์กลางการค้า การลงทุน เชื่อมโยงด่านสิงขร
อ.เจดีย์สามองค์ จ.ประจวบคีรีขันธ์ ของไทยที่อยู่ห่างไกลกันไม่ถึง 200 กิโลเมตร
“เมืองมะริดจะเป็นพื้นที่ที่น่าลงทุนมาก
เพราะไม่เกิน 5 ปี จะมีความพร้อมสมบูรณ์โครงสร้างขั้นพื้นฐาน ทั้งระบบขนส่ง ไฟ
น้ำประปา
ซึ่งตอนนี้มีบริษัทผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารจัดการน้ำจากประเทศไทยเข้ามาดูแลพัฒนาระบบน้ำของเมืองยิ่งสร้างความมั่นใจให้กับกลุ่มนักลงทุนต่างชาติ
รวมทั้งไทย
ส่วนระบบไฟฟ้าตอนนี้กำลังพัฒนาเพื่อให้มะริดมีความมั่นคงทางด้านพลังงานมากขึ้นและไม่น่ามีปัญหาแต่อย่างใด”
แบงก์ชาติดันนักลงทุนนอกช่วงเงินบาทแข็ง
จากสถานการณ์เงินบาทแข็งค่าต่อเนื่อง
และคาดว่าจะแตะที่ 28 บาทต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงปี พ.ศ.2563 นี้ ส่วนหนึ่งมีผลพวงมาจากการไหลเข้ามาลงทุนในประเทศไทยจากเงินสกุลอื่น
ที่ยังคงมองว่าเงินสกุลบาทไทย
ยังคงเป็นสกุลเงินที่มีความปลอดภัยที่สุดในภูมิภาคเอเชีย
การแทรกแซงค่าเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่เข้ามากระตุ้นการลงทุนในต่างประเทศจึงไม่ค่อยเห็นผล
แม้จะออกกฎให้พักเงินตราไว้ในต่างประเทศได้แบบไม่มีกำหนด เพื่อเอื้อต่อการลงทุนในถิ่นอื่น จากเดิมที่เคยกำหนดไว้ว่าต้องนำเข้าประเทศภายใน 360 วัน และผ่อนปรนให้นักธุรกิจไทยออกไปลงทุนในต่างประเทศมากขึ้น เพื่อแก้ไขสถานการณ์เงินบาทแข็งค่า ประจวบเหมาะกับค่าต้นทุนแรงงานภาคการผลิตในประเทศสูงขึ้น
นี่จึงเป็นโอกาสอันดีที่เอื้อให้นักลงทุนไทยหันไปลงทุนในต่างแดนอย่างในเมืองมะริด ประเทศเมียนมา ซึ่งมีค่าใช้จ่ายต้นทุนภาคการผลิตต่ำกว่า รวมถึงมีศักยภาพพัฒนาด้านเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะด้านอสังหาริมทรัพย,ภาคการบริการ,การท่องเที่ยว,การประมงและการเกษตร จากการเปิดเสรีให้นักลงทุนของรัฐบาลเมียนม่า และยังไม่มีคู่แข่งมากหน้าหลายตา