จะเห็นว่าภายใต้การระบาดของโควิด
19 ทุกอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบ
แต่ก็จะเห็นว่าช่วงที่ผ่านมามีบางอุตสาหกรรมที่มีการเติบโต และยังมีแนวโน้มที่สดใส
เพราะเป็นหนึ่งในปัจจัยการดำรงชีวิต นั่นคือ อุตสาหกรรมอาหาร นับเป็น SME
โดยภาพรวมที่มีอัตราการเติบโตแม้ในช่วงภาวะวิกฤตเศรษฐกิจ
แต่กระนั้น
ภายใต้กติกาและค่านิยมของโลกที่ปรับเปลี่ยนไป อุตสาหกรรมอาหาร โดยเฉพาะในภาคของ ‘การผลิต’ ซึ่งจะเป็นกลุ่มต้นน้ำ และกลางน้ำ อาทิ เกษตรกร เครือข่ายเกษตร
วิสาหกิจชุมชน หรือ SME ขั้นกลางน้ำที่มีการแปรรูปที่ไม่ได้มีกระบวนการซับซ้อนมากนัก
อาจจะต้องเริ่มปรับตัวและเข้าใจบริบทใหม่ของการผลิตอาหารที่ต้องปลอดภัย
เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และยั่งยืน
โดยบทความนี้ เราจะพาคุณไปเจาะลึกกันว่า การทำธุรกิจด้านอาหารนั้นจะต้องเน้นย้ำในด้านใด เพื่อให้ธุรกิจ SME ที่อยู่ในมือของคุณนั้นเติบโตได้อย่างมั่นคง ท่ามกลางสภาวะการแข่งขันของตลาดโลก
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
1. การตรวจสอบย้อนกลับ
: การนำระบบ
“การตรวจสอบย้อนกลับ” มาใช้ในกระบวนการผลิตอาหารนั้น จะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นและยังสร้างแบรนด์ได้ในตัวเอง
กล่าวคือ ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตและจำหน่ายออกไปจะต้องมีระบบการตรวจสอบย้อนกลับได้ในทุกขั้นตอน
มีซีเรียลนัมเบอร์ หรือคิวอาร์โค้ดของสินค้า ให้สามารถสแกนหรือคีย์ข้อมูลเพื่อตรวจอบสอบที่มาของสินค้าได้
ซึ่งมาตรการทางการค้าในตลาดต่างประเทศจะให้ความสำคัญอย่างมาก
ดังนั้นผู้ผลิตอาหารเองจะละเลยเรื่องนี้ไม่ได้อีกต่อไป
2. การจัดการซัพพลายเชนอย่างยั่งยืน : หลายๆ คน
คงจะกำลังสงสัยว่า “การจัดการซัพพลายเชนอย่างยั่งยืน” คืออะไร ? อธิบายแบบทุกคนเข้าใจได้
คือ สินค้า วัตถุดิบ หรือกิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่องตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ
และปลายน้ำ ห่วงโซ่ที่เชื่อมโยงนี้เรียกว่า ซัพพลายเชน ซึ่งทุกกระบวนการทั้งหมดที่กล่าวมาต้องทำงานสอดคล้องกันอย่างมีประสิทธิภาพ
ซึ่งจะส่งผลต่อต้นทุนการผลิต การขนส่ง การจัดเก็บ
และที่สำคัญคือการสร้างความพึงพอใจให้ลูกค้า ดังนั้นผู้ผลิตอาหารจะต้องมีระบบการจัดการห่วงโซ่อุปทานที่มีประสิทธิภาพ
อันจะนำมาซึ่งความยั่งยืนนั่นเอง
3. ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับวัตถุดิบที่มีคุณภาพสูง : จะเห็นว่าเทรนด์การบริโภคเปลี่ยนไป
ผู้บริโภคในตลาดไม่ได้ต้องการของถูกเสมอไป แต่อยากได้ของดีมีคุณภาพในราคาที่เหมาะสม
ดังนั้นผู้ผลิตอาหารที่มุ่งเน้นการผลิตเชิงปริมาณ โดยไม่ใส่ใจคุณภาพผลผลิต
โอกาสที่ธุรกิจจะโดนกดดันทั้งจากราคาตลาด และการแข่งขันที่สูง
ดังนั้นการมุ่งเป้าไปที่การพัฒนาคุณภาพผลผลิตคุณภาพสูง จะเป็นทางออกหนึ่งที่จะทำให้ปลีกตัวออกจากตลาดที่มีการแข่งขันสูง
มาอยู่ในตลาดที่เฉพาะกลุ่มและสามารถขายผลิตผลในราคาที่สูงกว่าราคาตลาด
4. มาตรฐานสินค้าอาหารปลอดภัยและเป็นมิตรต่อโลก
:
นอกเหนือจากเรื่องคุณภาพ
อีกสิ่งหนึ่งที่จะทำให้ผลิตภัณฑ์อาหารของคุณได้รับการยอมรับจากกลุ่มผู้บริโภคก็คือ
การมีมาตรฐานรับรองสินค้าอาหารว่าปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เป็นเทรนด์ที่ผู้บริโภคในตลาดต่างประเทศให้ความสำคัญมาก
ขณะที่ตลาดในประเทศไทยก็มีการตื่นตัวในด้านนี้ ดังนั้นมาตรฐานอาหารปลอดภัยยังต้องมีมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อม
และการจัดการที่เป็นมิตรต่อโลก
ซึ่งบางขณะการได้มาซึ่งมาตรฐานการรับรองอาจจะเป็นเรื่องของต้นทุน ดังนั้นอาจจะต้องค่อยเป็นค่อยไปหากจะขอมาตรฐานการรับรองที่จะเป็นใบเบิกทางไปในตลาดต่างประเทศ
อาทิ มาตรฐานด้านเกษตรอินทรีย์
ซึ่งในแต่ละประเทศอาจจะมีมาตรฐานการรับรองที่แตกต่างกัน
ดังนั้นจึงต้องดูตลาดที่ต้องการจะไป
5. กฎระเบียบการค้าโลกที่เปลี่ยนไป
:
เราเคยกล่าวถึง
‘มาตรการที่ไม่ใช่ภาษี’ มาหลายครั้ง
แต่ดูเหมือนว่าแนวโน้มทั่วโลกในขณะนี้จะออกสารพัดมาตรการในการจำกัดการนำเข้าอาหารของบางประเทศ
โดยใช้มาตรการที่นอกเหนือจากระบบกีดกันแบบเดิมๆ คือการออกกฎที่ยุ่งยากและซับซ้อนมากขึ้น
และหนึ่งในนั้นคือมาตรการด้านการจัดการสิ่งแวดล้อม การจัดการเรื่องคาร์บอนเครดิต
การจัดการในเรื่องการการใช้เชื้อเพลิงในการขนส่งที่เป็นตัวการในการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
ดังนั้น SME จะต้องติดตามข่าวคราวของตลาดส่งออกในต่างประเทศ
ตลอดจนข้อบังคับและระเบียบการต่างๆ อาทิ ในตลาดยุโรป
สินค้าเกษตรและอาหารจากไทยมีแนวโน้มว่าอาจจะเผชิญปัญหาเรื่องต้นทุนคาร์บอนของสินค้า เป็นต้น
จากทั้ง 5
ความท้าทายใหม่ที่เราหยิบยกมาบอกกล่าวในที่นี้
ซึ่งบางข้อก็อาจจะไม่ใช่เรื่องใหม่นัก แต่จะเห็นว่ามีผู้บริโภคให้ความสำคัญมากขึ้น
และเพื่อเป็นแนวทางและข้อมูลให้ผู้ประกอบการ SME และผู้ผลิตอาหารได้ตระหนักถึงเรื่องดังกล่าวให้มากขึ้น
เพราะภายใต้กติกาการค้าของโลกที่มุ่งเน้นการจัดการเพื่อความยั่งยืน
ผู้ผลิตอาหารก็ควรเข้าใจเทรนด์นี้
และปรับธุรกิจให้สอดรับและก้าวทันเทรนด์การค้าโลก