ภายใต้การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด 19 ส่งผลให้เศรษฐกิจทั่วโลกนับตั้งแต่ต้นปี 2563
หดตัวมาอย่างต่อเนื่อง
ประกอบกับประเทศไทยที่เศรษฐกิจส่วนใหญ่ล้วนพึ่งพาภาคการส่งออก ยิ่งทำให้ผลกระทบรุนแรงด้วยเช่นกัน
ซึ่งจากข้อมูลของสภาผู้ส่งออกสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) ที่รายงานสถานการณ์ส่งออกสินค้าทางเรือเดือนพฤศจิกายน 2563 ว่า ตัวเลขการส่งออกสินค้าทางเรือหดตัว 3.65% และเมื่อรวมระยะเวลาการส่งออกสินค้าทางเรือตั้งแต่เดือนมกราคม-พฤศจิกายน
2563 หดตัว 6.92% และคาดว่าในปี 2563
จะหดตัว 6.78% อย่างไรก็ตามถ้าเดือนธันวาคม 2563
ที่ผ่านมา ส่งออกได้ถึง 8,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
คาดว่าตัวเลขการส่งออกจะหดตัว 6%
อย่างไรก็ตาม เป็นที่ทราบดีว่าแม้ตัวเลขส่งออกไทยปีที่ผ่านมาติดลบ แต่มีสินค้าส่งออกประเภทหนึ่ง ที่ได้รับผลกระทบน้อย มีทิศทางการฟื้นตัวได้เร็ว และมีโอกาสที่จะพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสได้ นั่นก็คือ สินค้ากลุ่มอาหาร ซึ่งเป็นภาคการส่งออกที่แข็งแกร่งของไทย
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ซึ่งสาเหตุที่กลุ่มสินค้าอาหารจากไทยสามารถยืดหยัดได้ไม่ว่าจะเจอวิกฤตไหนๆ
นั่นเป็นเพราะอาหารไทยมีชื่อเสียง มีคุณภาพและรสชาติที่ดี อีกทั้งยังได้รับความเชื่อถือในเรื่องความปลอดภัย
ได้รับการรับรองมาตรฐานจากหน่วยงานในระดับสากล
จึงส่งผลให้มีข้อได้เปรียบในการส่งออกกว่าหลายประเทศ ยิ่งในวิกฤตโควิด 19
ที่ผู้บริโภคทั่วโลกเกิดพฤติกรรมใหม่เป็น New Normal ผู้คนอยู่บ้านกันมากขึ้น ทำอาหารเองกันมากขึ้น
โดยมูลค่าส่งออกอาหารของไทยช่วง 11 เดือนของปี 2563 อยู่ที่ 981,430 ล้านบาท เปรียบเทียบช่วงเดียวกันปีที่แล้วเท่ากับ 1,059,721 ล้านบาท
ลดลง 7.39% ถึงแม้ในช่วงเดือนเมษายนถึงพฤษภาคม 2563 การส่งออกขยายตัวสูง 10%
เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่เป็นเพียงการสั่งซื้อจากการที่ประเทศคู่ค้า
เร่งน้าเข้าสินค้าอาหารเพื่อรองรับการกักตัวในระยะสั้น
แนวโน้มส่งออกอาหารไทยปี 2564
โดยข้อมูลจากสถาบันอาหาร ที่ล่าสุดได้คาดการณ์การส่งออกอาหารของไทยในปี
2564 จะมีมูลค่า 1.08-1.10 ล้านล้านบาท
เพิ่มขึ้น 10.2-12.2% เทียบกับปีที่ผ่านมาที่หดตัวจากผลกระทบของโควิด
19 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากราคาสินค้าเกษตรบางรายการที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
โดยเฉพาะกลุ่มพืชพลังงานทดแทน เช่น ถั่วเหลือง ปาล์มน้ำมัน ข้าวโพด อ้อย และมันสำปะหลัง
เป็นต้น จากความต้องการพลังงานทดแทนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
รวมทั้งการแข็งค่าของเงินสกุลต่างๆ ในเอเชีย
จะทำให้มีการส่งออกสินค้าเกษตรมากขึ้นโดยเฉพาะประเทศจีน
ซึ่งจะส่งผลดีในแง่ของแรงจูงใจในการเพิ่มผลผลิตของเกษตรกรไทย
ล่าสุดผลผลิตวัตถุดิบภาคเกษตรของไทยค่อยๆ ฟื้นตัวในช่วงครึ่งปีหลัง ทำให้ราคาและรายได้เกษตรกรปรับตัวเพิ่มขึ้นในอัตราเร่ง
ส่งผลดีต่อวัตถุดิบและเกื้อหนุนต่อการบริโภคภายในประเทศ
ปัจจัยที่อาจส่งผลต่อการส่งออกอาหารไทย
แม้ตัวเลขภาพรวมการค้าอาหารในปี 2564 จะมีทิศทางที่ดีขึ้น
แต่สิ่งที่ต้องเฝ้าระวังและประเมินสถานการณ์กันอย่างต่อเนื่อง คือ 4 ปัจจัยซึ่งอาจส่งผลให้ตัวเลขที่ประมาณไว้มีการเปลี่ยนแปลง ได้แก่
1. การกระจายวัคซีน COVID-19 ล่าช้า ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวและเดินทาง ซึ่งเป็นช่องทางกระจายสินค้าอาหารไม่ต่ำกว่า
20% ของสินค้าอาหารส่งออกทั้งหมด
โดยเฉพาะอาหารทะเลแช่แข็ง
2. เงินบาทแข็งค่า จากเงินทุนไหลเข้า (Fund flow) สู่ตลาดเอเชียและไทยมากขึ้น
3. มาตรการกีดกันทางการค้าเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะมาตรการที่มิใช่ภาษี (NTBs) หลังจากคาดว่าการค้าโลกในระยะถัดไปจะกลับเข้าสู่ระบบการค้าเสรีภายใต้ทวิภาคีมากขึ้น
มาตรการกีดกันทางการค้าโดยใช้ภาษีก็มีแนวโน้มคลายตัวลงไป
4. ราคาพลังงานเพิ่มสูงขึ้น กระทบต่อต้นทุนการผลิตและขนส่ง
เมื่อปัจจัยสนับสนุนจากการคาดการณ์การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกหลังวัคซีนมีความชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
ประกอบกับการได้รับปัจจัยหนุนจากผลการประชุมของกลุ่มโอเปกและประเทศพันธมิตร ว่าจะปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันดิบลงมาอยู่ที่ระดับ
7.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน หรือ 7% ของความต้องการใช้น้ำมันของโลกในเดือนมกราคม
2564
แนวโน้มสินค้าที่มีความต้องการเพิ่มขึ้นในปี 2564
1. สินค้าในกลุ่มโปรตีนจากพืช ที่แบ่งเป็นกลุ่มย่อยตามลักษณะผลิตภัณฑ์ เช่น
ผลิตภัณฑ์ทดแทนเนื้อสัตว์จากพืช ผลิตภัณฑ์ทดแทน อาหารทะเลจากพืช ผลิตภัณฑ์นมจากพืช
ผลิตภัณฑ์ทดแทนไข่จากพืช เป็นต้น
2. กลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน เช่น สินค้ากลุ่มสมุนไพรและเครื่องเทศ กลุ่มถั่วและเมล็ดพืช
กลุ่มผลไม้และผัก กลุ่ม ผลิตภัณฑ์นม ผลิตภัณฑ์โพรไบโอติกและพรีไบโอติก และกลุ่มสินค้าอื่นๆ
3. กลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมผลิตแบบยั่งยืน เช่น ผลิตภัณฑ์อาหารที่มีกรรมวิธีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ลดการสูญเสีย
และไม่ก่อให้เกิดขยะ อาหารจากนวัตกรรมที่สะท้อนถึงความยั่งยืนด้านอาหารของโลก
อย่างไรก็ตามในประเด็นเรื่องสิ่งแวดล้อมนั้น ผู้ผลิตอาจจะต้องมีการคำนึงด้านนี้มากขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาตลาดในยุโรปและสหรัฐฯ ต่างมีมาตรการทางภาษีและมาตรการที่มิใช่ภาษี มากำกับในด้านการบริโภคและการนำเข้าผลิตภัณฑ์อาหารที่ยั่งยืน ทั้งในด้านของแรงงาน วัตถุดิบ ซัพพลายเชน บรรจุภัณฑ์ และการตรวจสอบย้อนกลับ จะเป็นประเด็นที่ทั่วโลกตระหนักมากขึ้นและจะมีกฎระเบียบในด้านเหล่านี้เพิ่มขึ้นด้วย ดังนั้นจึงต้องมีการยกระดับคุณภาพสินค้าให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดด้วย
สมัครสินเชื่อ >>สินเชื่อธุรกิจบัวหลวง SMEs ดีแน่นอน<<