นับเป็นระยะเวลายาวนานหลายปีที่ "ประเทศไทย" ได้ครอบครองตลาดข้าวที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐ เหนือกว่า อินเดีย เวียดนาม แต่สภาวะการณ์แข่งขันก็ค่อนข้างรุนแรง เพราะคู่แข่งต่างพัฒนาคุณภาพข้าวไล่ตามไทยในระดับรุนแรงแบบที่เรียกกว่า หายใจรดต้นคอ
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
จากข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐ ระบุว่าในปี
2562 สหรัฐฯ นำเข้าข้าวทั้งหมด 1,013 ล้านเหรียญสหรัฐ
เพิ่มขึ้น 12.21% จากปี 2561
ที่นำเข้ามูลค่า 903 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยแหล่งนำเข้าข้าวที่สำคัญ
5 อันดับแรก ได้แก่ ไทย สูงสุดเป็นอันดับ 1 มูลค่า 633 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 17.20% รองลงมาคือ อินเดีย มูลค่า 226 ล้านเหรียญสหรัฐ
เพิ่มขึ้น 7.67% ปากีสถาน มูลค่า 37.97 ล้านเหรียญสหรัฐ
เพิ่มขึ้น 20.68% เวียดนาม 11.34
ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 9.02% และอิตาลี 14.37 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 8.79%
และปรากฎว่าในช่วงเดือนมกราคมในปี 2563 ยอดการนำเข้าข้าวจากไทยแม้ว่าจะครองอันดับ 1 มูลค่า
52.61 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่เติบโตลดลง 4.11% จากช่วงเดือนมกราคม 2562
ขณะที่คู่แข่งอย่างเวียดนามมีมูลค่า 1.71 ล้านเหรียญสหรัฐ
แต่เติบโตขึ้นถึง 186.27%
ซึ่งนับว่าเป็นความท้าทายอย่างมากสำหรับผู้ส่งออกข้าวไทย
สำหรับประเภทข้าวที่สหรัฐฯ นำเข้าหลักๆ
ได้แก่ ข้าวขาวเมล็ดยาว มูลค่า 59.8 ล้านเหรียญสหรัฐ
เพิ่มขึ้นขึ้น 3.31% ข้าวขาวเมล็ดกลาง มูลค่า 8.6 ล้านเหรียญสหรัฐ และข้าวขาวเมล็ดสั้น มูลค่า 3.10
ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 33.85% ทั้งนี้สินค้าข้าวขาวที่สหรัฐฯ
นำเข้าส่วนใหญ่ ยังเป็นกลุ่มข้าวขาวหอมมะลิจากไทยที่ครองตลาดอันดับหนึ่ง
รองลงมาเป็นข้าวบาสมาติจากอินเดียและปากีสถาน
อย่างไรก็ตามแม้ว่าสหรัฐฯ จะเป็นตลาดบริโภคข้าวขนาดใหญ่ของโลก
แต่ในสหรัฐฯ ก็มีการปลูกข้าวไว้บริโภคเองในหลายพื้นที่ อาทิ รัฐอาคันซอร์
รัฐแคลิฟอร์เนีย รัฐหลุยเซียนา รัฐมิสซูรี รัฐเท็กซัส และรัฐมิสซิสซิปปี้
ซึ่งรวมพื้นที่ปลูกข้าวคาดว่าจะมีทั้งหมด 3
ล้านเอเคอร์ สามารถผลิตข้าวได้ประมาณ 3.5 ล้านตันต่อปี แต่ยังไม่เพียงพอต่อการบริโภคของสหรัฐฯ
ที่คาดว่าจะมีปริมาณ 32.5 ล้านตัน ในปี 2563 หรือเพิ่มขึ้น 12% จากปี 2562
ทำให้สหรัฐฯ ยังมีความต้องการนำเข้าข้าวแน่นอนประมาณ 29
ล้านตันต่อปี นี่จึงยังเป็นโอกาสของไทย
อย่างไรก็ตาม ผู้ส่งออกที่ต้องการส่งข้าวไปจำหน่ายในตลาดสหรัฐฯ
ต้องศึกษาระเบียบการนำเข้าที่สำคัญของสหรัฐฯ
ไม่ว่าจะเป็นข้อกำหนดด้านใบรับรองสุขอนามัยของกระทรวงเกษตรสหรัฐฯ
ซึ่งกำหนดเพื่อป้องกันการระบาดของโรคแมลง เช่น ด้วงอิฐ หรือการปนเปื้อนต่างๆ
นอกจากนี้ สหรัฐฯ ยังกำหนดไม่ให้สิทธิพิเศษด้านภาษีศุลกากร (จีเอสพี)
สำหรับข้าวไทย จึงต้องเสียภาษีนำเข้าในอัตรา 0.44-2.1
เซ็นต์ต่อกิโลกรัม ยกเว้นสินค้าข้าวนึ่งที่ได้รับสิทธิจีเอสพีจึงมีภาษีนำเข้าเป็น 0%
สำหรับช่องทางการจำหน่ายข้าวในสหรัฐฯ
ยังคงเป็นช่องทาง "ค้าปลีก" เป็นหลักเกิน 95% ทั้งผ่านซุปเปอร์มาร์เก็ต 40.4% รองลงมา คือ
ไฮเปอร์มาร์เก็ต 19.5% ร้านค้าปลีกทั่วไป 15.7% ร้านค้าปลีกขนาดเล็ก 14.4% ร้านจำหน่ายสินค้าลดราคา
2.8% และร้านสะดวกซื้อ 1.5%
ส่วนช่องทางออนไลน์มีสัดส่วนเพียง 5%
แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า ช่องทางออนไลน์นี้มีโอกาสเติบโตเพิ่มขึ้น หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ผู้บริโภคหันมาซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น มีแนวโน้มว่าจะเติบโตได้เป็น 2 เท่าตัวในปี 2025 และมีโอกาสที่จะผลักดันสินค้าข้าวไทยไปยังกลุ่มผู้บริโภคยุคใหม่ เช่น กลุ่ม Millennials ซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ ที่นิยมซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ด้วย