แมลงนับเป็นอาหารใหม่ที่ตลาดยุโรปให้ความสนใจ
โดยเฉพาะโปรตีนจากจิ้งหรีด โดยจิ้งหรีด 3 กิโลกรัมเท่ากับเนื้อ 1 กิโลกรัม
แถมรับประทานแมลงนั้นย่อยง่ายกว่าเนื้อสัตว์ อีกทั้งยังอุดมไปด้วยวิตามินบี 12
มีแคลเซียมมากกว่านม มีธาตุเหล็กมากกว่าผักขม และมีกรดอะมิโนแอซิดที่จำเป็น
จิ้งหรีดจึงนับเป็นแมลงเศรษฐกิจที่สำคัญที่สุดของไทยและตลาดโลกในอนาคต ทางองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ
(Food and Agriculture Organization of the United Nation : FAO) จึงได้ส่งเสริมให้ประชาชนหันมาบริโภคจิ้งหรีดแทนเนื้อสัตว์
เนื่องจากเป็นแหล่งโปรตีนทางเลือกใหม่ที่มีราคาถูกและสามารถหาได้ง่ายในท้องถิ่น
โดยเฉพาะประเทศไทยมีสภาพภูมิอากาศที่ร้อนชื้น เอื้ออำนวยต่อเลี้ยงจิ้งหรีดเพื่อการผลิตและแปรรูปเพื่อการส่งออกไปยังตลาดโลก เช่น สหภาพยุโรป (อียู) ,สหรัฐอเมริกา, แคนาดา, จีน และอีก 25 ประเทศที่มีความต้องการสูง ซึ่งปี 2562 มูลค่าการตลาดโลกมากกว่า 1.2 หมื่นล้านบาท ส่วนปี 2563 ตลาดเอเชียจะมีมูลค่าพุ่งสูงถึง 6,725 ล้านบาท
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
จากข้อมูลของ
Food Ingredients Asia ผลพวงจากเทรนด์ทั่วโลกนิยมบริโภคเพิ่มขึ้นไม่หยุดและมีแนวโน้มตลาดโลกจะขยายตัวเพิ่มขึ้น
6.4%
ส่วนในอีก 5 ปีข้างจะเติบโตอีกกว่า 20% เพราะการเลี้ยงปศุสัตว์เพื่อการบริโภคเนื้อเติบโตไม่ทันต่อความต้องการของประชากรโลก
ทำให้ประเทศไทยต้องเร่งขับเคลื่อนยกระดับมาตรฐานเกษตรกรผู้เลี้ยงจิ้งหรีด
จากพื้นบ้านเข้าแบบแปลงใหญ่มาตรฐานสากลให้ครอบคลุมไปทั่วภูมิภาค เพื่อให้เป็นที่ยอมรับของตลาดต่างประเทศมากยิ่งขึ้น
ซึ่งทุกวันนี้ประเทศไทยมีฟาร์มจิ้งหรีดแบบพื้นบ้านมากกว่า 2 หมื่นแห่ง
ส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (อีสาน) อาทิ จ.ขอนแก่น กาฬสินธุ์
และมหาสารคาม
ขณะเลี้ยงจิ้งหรีดระบบแปลงใหญ่
มีอยู่ 2 จังหวัดในภาคอีสาน คือ กาฬสินธุ์และมหาสารคาม โดยพันธุ์จิ้งหรีดที่เกษตรกรนิยมเลี้ยงมีอยู่ด้วยกัน
2 สายพันธุ์ คือ พันธุ์บ้านสะดิ้ง และพันธุ์ทองคำ มีกำลังการผลิตทั้งหมดรวมกันได้แค่
700 ตันต่อปี คิดเป็นมูลค่าจิ้งหรีดสดมากกว่า 1,000 ล้านบาท แต่ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาดโลก
ยุโรปสนใจนำเข้าผลิตภัณฑ์จิ้งหรีดแช่แข็งและแปรรูปจากไทย
ปัจจุบันมีผู้ประกอบการในอียูหลายรายให้ความสนใจนำเข้าผลิตภัณฑ์จิ้งหรีดทั้งแช่แข็งและแปรรูปจากประเทศไทย
ไม่ว่าจะเป็นการต้มบรรจุกระป๋อง หรืออบและบดเป็นโปรตีนผง เพื่อใช้เป็นส่วนผสมอาหารเป็นจำนวนมาก
แต่เนื่องจากการบังคับใช้ระเบียบอาหารใหม่เมื่อวันที่ 1 ม.ค. 2561
ก่อให้เกิดผลกระทบต่ออุตสาหกรรมสินค้าที่เกี่ยวข้องจำนวนมาก ตั้งแต่เกษตรกรผู้ผลิต
โรงงานแปรรูป ไปจนถึงอุตสาหกรรมส่งออกและนำเข้า
เนื่องจากสินค้าที่มีศักยภาพหลายรายการจะต้องทำคำขอยื่นเปิดตลาด
ทั้งการขึ้นทะเบียนในสถานะอาหารใหม่ (Novel Food) หรือสถานะอาหารพื้นเมือง (Traditional
Food) รวมทั้งต้องจัดทำเอกสารประกอบการยื่นคำขอ
เพื่อให้คณะกรรมการที่รับผิดชอบของสำนักงานความปลอดภัยอาหารแห่งสหภาพยุโรป (European
Food Safety Authority(EFSA) พิจารณาความปลอดภัยหรือหลักฐานการบริโภคก่อนการอนุญาตเปิดตลาดอย่างเป็นทางการ
ซึ่งทุกวันนี้หลายบริษัทนำเข้าผ่าน กม.อียู เรียบร้อยแล้ว
การเลี้ยงแมลง
จะถือเป็นอาหารใหม่ตามระเบียบของอียูที่ คุณเสริมสุข สลักเพ็ชร์
เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) บอกว่า จิ้งหรีดเป็นหนึ่งในแมลงเศรษฐกิจที่สำคัญและมีศักยภาพในการส่งออก
ทาง มกอช.จึงได้กำหนดและประกาศมาตรฐานสินค้าเกษตร มกษ.8202-2560
หรือการปฏิบัติทางการเกษตรที่ดี สำหรับฟาร์มจิ้งหรีดเป็นมาตรฐานทั่วไปลงในราชกิจจานุเบกษา
เมื่อวันที่ 28 พ.ย. 2560
โดยมีกรมปศุสัตว์เป็นหน่วยงานรับผิดชอบในการตรวจรับรองตาม มกษ.
เพื่อรองรับการยกระดับฟาร์มจิ้งหรีดให้ได้มาตรฐาน นั่นก็คือสนับสนุนให้เกษตรกรขยายพื้นที่เลี้ยงจิ้งหรีดในระบบแบบแปลงใหญ่
เพื่อให้ได้มาตรฐานสากลทำให้ง่ายต่อการส่งออกตลาดอียู
นำร่อง
“กาฬสินธุ์-มหาสารคาม” แหล่งผลิตจิ้งหรีดแปลงใหญ่
นับตั้งแต่ปี
2561 โดยนำร่องในพื้นที่ ต.ยางตลาด อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ และ ต.มะค่า อ.กันทรวิชัย
จ.มหาสารคาม เพื่อเพิ่มปริมาณการผลิต แปรรูป และขยายตลาดส่งออกทั้งเอเชียและตลาดโลก
รวมทั้งสหภาพยุโรป เพื่อตอบสนองกระแสนิยมการบริโภคแมลงที่เพิ่มปริมาณสูงขึ้นไม่หยุด
เนื่องจากแมลงเป็นแหล่งโปรตีนสามารถใช้เป็นวัตถุดิบอาหารมนุษย์และสัตว์
มีคุณค่าทางโภชนาการสูง ต้นทุนการผลิตต่ำ ปริมาณโปรตีนสูง
ต้องการอาหารและน้ำในปริมาณน้อย ทำให้สามารถเลี้ยงได้ในพื้นที่แห้งแล้งที่ไม่สามารถเพาะปลูกพืชเศรษฐกิจอื่นๆ
ได้ แมลงหลายชนิดรวมทั้งจิ้งหรีดถือเป็นความหวังสำคัญต่อการพัฒนาความมั่นคงทางอาหารของโลกในอนาคต
ก่อนหน้านี้การเลี้ยงจิ้งหรีดถือว่าเป็นอาชีพเสริมของเกษตรกร
จ.มหาสารคาม และกาฬสินธุ์ แต่หลังจากเกษตรกรจังหวัดเข้ามาให้การสนับสนุนเกษตรกรเลี้ยงจิ้งหรีดนำร่องในระบบแปลงใหญ่ใน
ต.มะค่า อ.กันทรวิชัย จ.มหาสารคาม ตั้งแต่ปี 2561 จนทุกวันนี้มีสมาชิกอยู่มากกว่า
280 ราย มีผลผลิตออกสู่ตลาดวันละประมาณ 2,000-3,000 กิโลกรัม
ทำรายได้เข้าหมู่บ้านได้ปีละประมาณ 60-70 ล้านบาท แต่ละปีจะสามารถเลี้ยงได้ 4-5
รุ่น แต่ละรุ่นก็สร้างรายได้ถึง 16 ล้านบาท เช่นเดียวกับเกษตรกรที่ ต.ยางตลาด
อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ ตอนนี้หันมายึดอาชีพเลี้ยงจิ้งหรีดแทนทำการเกษตรเป็นจำนวนมาก
ขั้นตอนเลี้ยงจิ้งหรีดเงินล้าน
ไม่ยุ่งยาก ต้นทุนต่ำ
การเพาะพันธุ์เลี้ยงจิ้งหรีดไม่ยุ่งยาก
ต้นทุนต่ำ ขยายพันธุ์เร็ว ให้ผลผลิตสูง ภายในเวลา 1 ปี สามารถเลี้ยงจิ้งหรีดได้ถึง
5 รุ่น ปัจจัยที่จำเป็นต้องใช้ในการเลี้ยงจิ้งหรีดประกอบด้วย ขันไข่ บ่อละ 5 ขัน
ท่อปูนพร้อมฝาปิดท่อ ขนาดกว้าง 80 ซม. สูง 50 ซม. จำนวน 1 ท่อ หรือกะละมังพลาสติก
ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางกว้าง 72 ซม. สูง 30 ซม. หรือจะเป็นภาชนะที่ใส่ได้ทุกขนาด
ตาข่ายไนลอนเขียว 100x100 ซม. จำนวน 1 ผืน แผ่นพลาสติก ขนาด 25x270 ซม. จำนวน 1 ผืน ยางรัดปากบ่อหนา 1
ซม. จำนวน 1 เส้น ถาดอาหาร-น้ำ ขนาด 5x10 ซม. ลึก 1.5 ซม. 2 ถาด กระบอกไม้ไผ่
ยาว 20 ซม. ผ่าครึ่งจำนวน 10 อัน หรือกระดาษรังไข่ 3 อัน
ถาดหรือถุงพลาสติกใส่ดินร่วนปนทราย หนา 2 ซม. เศษหญ้าแห้งวางหนา 2 ซม.
ส่วนขั้นตอนการสร้างเรือนโรง
หรือหลังคาป้องกันแดดและฝนโดยให้แดดส่องเช้าเย็น
ปรับพื้นที่กำจัดมดและศัตรูจิ้งหรีด วางบ่อบนฝา
ใช้ปูนผสมทรายฉาบปริ่มขอบภายในและภายนอก ป้องกันมดเข้าทำลายลูกจิ้งหรีด
ติดแผ่นพลาสติกด้านบนขอบบ่อหรือกะละมังด้วยเทปกาว
การให้อาหารและน้ำ
พืชอาหาร ได้แก่ ต้นอ่อนและยอดอ่อนของพืชหรือหญ้าสดทุกชนิด หญ้าขน หญ้าลูซี่
ผักตบชวา ใช้เลี้ยงจิ้งหรีดเจริญเติบโตเร็วและให้ผลผลิตสูง โดย 2 วัน ให้หญ้า 1
ครั้ง ครั้งละ 1 กำมือโดยหญ้าเก่าไม่ต้องนำออก จะเป็นที่อาศัยของจิ้งหรีดต่อไป
ส่วนอาหารเสริม รำอ่อน หรืออาหารสำเร็จรูปที่ใช้เลี้ยงไก่จิ้งหรีด 1 บ่อ ใช้อาหาร
3 กก./รุ่น ราคาประมาณ 15 บาท/กก. อาหารเสริมควรให้ในปริมาณที่กินหมดภายใน 2 วัน
ขณะที่การให้น้ำ
ขวดน้ำพลาสติกเจาะรูข้างขวด 2 รู
ใช้ผ้าทำความสะอาดม้วนใส่รูเพื่อให้น้ำซึมสำหรับจิ้งหรีดวัยตัวอ่อน
ภาชนะสำหรับวางไข่จิ้งหรีด ใช้ดินร่วนปนทรายและแกลบเผาใส่ขันสำหรับอาบน้ำ
ใช้ฟ็อกกี้ฉีดน้ำทุก 3 วัน พอชื้นไม่แฉะ ก่อนฉีดน้ำนำถาดอาหารออกก่อน
ถ้าเปียกจะเกิดเชื้อรา ใช้เฉพาะในช่วงที่มีตัวเต็มวัยที่จะวางไข่
ทุนการผลิตและผลตอบแทน
สามารถเลี้ยงได้ปีละ 5 รุ่นต่อบ่อ มีค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงรวม 850 บาทต่อบ่อต่อปี
ส่วนผลตอบแทน จิ้งหรีดที่เลี้ยงมีผลผลิตได้ 5 กก.ต่อบ่อต่อรุ่น
ปัจจุบันราคากิโลกรัมละประมาณ 100 บาท(ราคาส่ง) มีรายได้ 2,500 บาท หรือกำไรเฉลี่ย 1,700 บาทต่อบ่อต่อปี
การเลี้ยงแมลง หรือจิ้งหรีด ถือเป็นอีกหนึ่งอาชีพที่น่าจับตามองและมีอนาคต เพราะปัจจุบันประชากรทั่วโลกนิยมรับประทานแมลงมากขึ้น ทำให้ความต้องการของตลาดโลกเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง