ในปี 2564 องค์กรธุรกิจชั้นนำทั่วโลกต่างประเมินทิศทางเศรษฐกิจโลกในปีนี้ไม่น่าจะเป็นปีที่สวยงามนัก
อาทิ มุมมองจากกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International
Monetary Fund: IMF) ประเมินว่าเศรษฐกิจโลกว่า
ทั้งประเทศเศรษฐกิจหลักและประเทศกำลังพัฒนาเข้าสู่ภาวะถดถอยพร้อมกัน ประเมินมูลค่าความเสียหายต่อเศรษฐกิจโลกในปี
2563 และ 2564 ไว้สูงถึงกว่า 9 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ
ซึ่งใหญ่กว่าเศรษฐกิจของญี่ปุ่นและเยอรมนีรวมกัน
ขณะที่องค์การการค้าโลก (World Trade Organization: WTO) ประเมินว่าปริมาณการค้าโลกจะหายไปถึง
1 ใน 3 เทียบกับปีก่อน จนถึงปัจจุบันเหล่านักวิชาการยังกังวลว่า
หากสถานการณ์ยืดเยื้อทำให้ธุรกิจและครัวเรือนขาดสภาพคล่องรุนแรงจนถึงขั้นเกิดปัญหาผิดนัดชำระหนี้ในวงกว้าง
อาจมีความเสี่ยงที่จะกลายเป็นวิกฤติการเงินร่วมด้วย
อย่างไรก็ตามจากข้อมูลของ UNCTAD ได้จัดทำรายงาน “Investment Trends Monitor” ซึ่งวิเคราะห์ผลของการลงนามความตกลง RCEP (Regional Comprehensive Economic Partnership) ต่อ FDI (การลงทุนตรงจากต่างประเทศ) ทั้งระบุว่าจะเป็นพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ของโลกในยุคหลังโควิด 19 ไว้อย่างน่าสนใจ
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
เหตุผลที่ RCEP จะเป็นศูนย์กลางการลงทุนของทั่วโลก
1. RCEP
เป็นแหล่ง FDI สําคัญของโลกคิดเป็น 16% ของ FDI
stock และ 24% ของ FDI flow ของโลก แม้ว่า FDI
ทั่วโลกประสบภาวะชะงักงัน แต่ FDI ในกลุ่ม RCEP
มีทิศทางเพิ่มขึ้นในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา และแม้ว่าโควิด 19 จะทําให้
FDI ในภูมิภาคนี้ลดลง 15%
แต่ก็ถือว่าน้อยเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยระดับโลกที่ลดลง 30-40%
2. UNCTAD
ประเมินว่า RCEP สามารถเพิ่ม FDI และการสร้าง Global Value Chains (GVCs) ในภูมิภาคได้อย่างมีนัยสําคัญ
และเขตการค้าเสรีนี้น่าจะเป็นผู้นําด้านการฟื้นตัวของ FDI
3. บทบัญญัติเกี่ยวกับการลงทุนเน้น consolidate บทบัญญัติเกี่ยวกับ market access และ best practices ในด้าน investment
facilitation จากข้อตกลงระหว่างประเทศสมาชิกที่มีอยู่
ซึ่งจะช่วยเพิ่ม FDI ในระยะยาว ส่วนบทบัญญัติเกี่ยวกับการค้า
ทรัพย์สินทางปัญญา และ e-commerce จะช่วยเพิ่ม FDI ในระยะสั้น ผ่านการอํานวยความสะดวกการค้าระหว่างประเทศ และการลด transaction
costs ของบริษัทต่างๆ
4. RCEP
ยังมีอัตราการลงทุนระหว่างประเทศสมาชิกในกลุ่ม (intra-regional
investment) อยู่ที่ 30% ซึ่งถือว่าน้อยเมื่อเทียบกับเขตการค้าเสรีอื่น
สะท้อนว่ามีโอกาสสําหรับการขยาย intra-regional investment สูง
นอกจากนี้สมาชิก RCEP มีความหลากหลายในด้านระดับของการพัฒนามูลค่า
FDI ต่อ GDP ตลอดจนตําแหน่งของประเทศ
ซึ่งสามารถสร้าง complementarity และส่งเสริมโอกาสทางการลงทุนระหว่างกันเป็นอย่างมาก
5. อุปสรรคสําคัญของ RCEP ได้แก่
การเริ่มดําเนินการตามข้อตกลงในช่วงที่มีความตึงเครียด ทั้งทางด้านการค้าและ geopolitics
ตลอดจนวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดจากโควิด 19 จะจํากัดผลประโยชน์ของ RCEP
ต่อการขยายการค้า การลงทุน และ GVCs ในระยะสั้น
6. นโยบายด้านการลงทุนที่ควรผลักดัน
อาทิ
(1)
การลงทุนเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน
โดยเน้นส่งเสริมการลงทุนในด้านโครงสร้างพื้นฐาน พลังงานสะอาด และสาธารณสุข
(2) การสนับสนุน resilience seeking FDI ของบริษัทข้ามชาติที่ต้องการ diversify
แหล่งการผลิต และเน้นสร้าง regional value chains
(3) การส่งเสริมการลงทุนเพื่อการพัฒนา
โดยเฉพาะประเทศสมาชิกที่เป็น LDCs
ด้วยเหตุนี้ ภายใต้ RCEP ซึ่งเซ็นสัญญาร่วมกันในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยสมาชิกอาเซียน
10 ประเทศและพันธมิตรทางเศรษฐกิจสำคัญอีกห้าประเทศ ครอบคลุมประชากร 30% ของโลกหรือ
2.2 พันล้านคน และ 30% ของเศรษฐกิจทั่วโลก Global GDP 26.2
ล้านล้านเหรียญสหรัฐ
ทั้งการที่จีนเป็นตัวเอก มีญี่ปุ่น
เกาหลีใต้ นิวซีแลนด์และออสเตรเลียร่วมด้วย ทำให้มีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จในการร่วมมือกันพัฒนาเศรษฐกิจ
โดยมีหลักการและกติกาที่สมาชิกทุกคนสามารถปฏิบัติร่วมกันโดยมีประสิทธิภาพ
โดยเน้นที่การลดขั้นตอนยุ่งยาก ลดหรือกำจัดกำแพงภาษีของการค้าขายระหว่างกัน
เหตุนี้ RCEP เป็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจ คือการรวมตัวของสมาชิก
15 ประเทศในภูมิภาคเดียวกันสร้างกลุ่มเศรษฐกิจที่สำคัญ
ซึ่งน่าจะดึงศูนย์กลางเศรษฐกิจโลกมาเอเชีย
และครั้งนี้สหรัฐอเมริกาไม่ได้ถูกรับเชิญเข้ามาร่วมด้วย
จึงเปรียบเสมือนอเมริกากำลังโดนลดความสำคัญลง
ย้อนมองเศรษฐกิจไทยในปี 2564
ภายใต้นโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลไทยในปี
2564 ที่จะมุ่งเน้นไปที่การเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณประจำปี 2564 จำนวน 3.2
ล้านล้านบาท และโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
โดยมีโครงการภายใต้ความร่วมมือของภาครัฐและเอกชนอีกมากที่จะได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลในปีหน้า
สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติคาดการณ์ว่าการลงทุนภาคเอกชนจะขยายตัว 4.2% ในปี
2564 จากที่ลดลง 8.9% ในปี 2563 การลงทุนของภาครัฐคาดว่าจะเติบโต 12.4%
ลดลงเล็กน้อยจาก 13.7% ในปี 2563
การที่รัฐบาลมุ่งมั่นที่จะปรับปรุงระเบียบและข้อบังคับต่างๆ
เพื่ออำนวยความสะดวกในการทำธุรกิจและดำเนินนโยบายเพื่อดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศในปี
2564-65 รวมถึงมุ่งเน้นไปที่อุตสาหกรรม S-Curve ใหม่ (การบิน โลจิสติกส์ เชื้อเพลิงชีวภาพและชีวเคมี ดิจิทัล
บริการทางการแพทย์ และหุ่นยนต์)
อุตสาหกรรมในประเทศต้องการการส่งเสริมและสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง
เพื่อยกระดับการผลิตโดยใช้ระบบอัตโนมัติ และเพื่อเป็นการกระตุ้นการลงทุนของภาคเอกชนในปี
2564 สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2563 ได้อนุมัติมาตรการเพิ่มเติมรวมทั้งการลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคล
50% เป็นเวลา 5 ปีสำหรับโครงการลงทุนมูลค่าอย่างน้อย 1 พันล้านบาท
และโดยปกติแล้ว BOI จะเสนอการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ยาวนานที่สุดคือ
8 ปี และเสนอให้บริษัทในพื้นที่โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC)
ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสูงสุด 13 ปี และลดหย่อนภาษี
50% สูงสุด 5 ปี
กระนั้น แม้ว่าการระบาดของโควิด 19
ทำให้เกิดการหยุดชะงักทั่วโลกรวมถึงในประเทศไทย
ผลสำรวจล่าสุดของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนแห่งประเทศไทย (BOI) แสดงให้เห็นว่านักลงทุนต่างชาติส่วนใหญ่ประมาณ 96%
ยังคงเชื่อมั่นในประเทศไทยและยินดีที่จะเดินหน้าการลงทุนต่อไป
ด้วยเหตุนี้ บทสรุปตัวเลข GDP ของไทยที่องค์กรธุรกิจหลายๆ สำนัก ต่างประมาณการว่าจะเติบโตที่ร้อยละ
2- 3 ในปี 2564 นี้ ก็เป็นตัวเลขที่อาจจะน้อยเกินไปหากมองดูภาพรวม
แต่หากมองที่การระบาดระลอกใหม่ของประเทศตัวเลขการเติบโตดังกล่าวก็อาจจะสูงไปด้วยซ้ำ
ดังนั้นที่สุดแล้วปัจจัยสำคัญยังคงอยู่ที่การรับมือการระบาดของโควิด
19 ของทั่วโลกและของประเทศไทยด้วย และวัคซีนคืออีกปัจจัยที่จะส่งผลต่อภาพการพื้นตัวของเศรษฐกิจโลก
ด้วยปัจจัยความไม่แน่นอนเหล่านี้
เศรษฐกิจไทยในปีนี้จึงยังเป็นภาพจิกซอว์ที่ยังต่อไม่เสร็จ
ทำให้คาดคะเนได้ยากมากว่าจะเกิดอะไรขึ้นอีกภายหลังจากนี้
ดังนั้นยังต้องดำเนินธุรกิจไปด้วยความระมัดระวังและเตรียมเงินสดไว้ให้เพียงพอ
แหล่งอ้างอิง :
https://www.bangkokbiznews.com/