ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก ทั้งจากปัจจัยเสี่ยงสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีนที่ยังคงยืดเยื้อ
แม้ว่าสองฝ่ายจะชะลอการขึ้นภาษีและมีกำหนดเจรจากันหลายครั้ง
แต่ก็มีโอกาสที่จะไร้ข้อสรุป ซึ่งอาจจะต้องรอไปจนถึงการเลือกตั้งสหรัฐฯสิ้นสุดลง
ไม่เพียงเท่านั้นสถานการณ์การค้าโลกตรึงเครียดอีกเมื่อวันที่ 14 กันยายน 2562 จากเหตุการใช้โดรนโจมตีโรงกลั่นน้ำมันซาอุดิอารเบีย
ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับขึ้นไป 10% ก่อนที่จะดิ่งกลับลงมา
ล่าสุดการแยกตัวออกจากสหภาพยุโรปของอังกฤษ (Brexit) ที่ยังไม่ได้ข้อสรุปว่าจะเป็นการแยกตัวในลักษณะไร้ข้อตกลงรองรับ (Brexit
with no deal) หรือไม่ หากเป็นลักษณะนี้เท่ากับอังกฤษจะต้องเจรจากฎระเบียบและความตกลงต่างๆ
กับอียู และทั่วโลกใหม่ทั้งหมด
ปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้ ส่งผลให้หลายฝ่ายเริ่มกังวลว่าเศรษฐกิจโลกในปีหน้าอาจลดลง
หรือแม้แต่อาจเข้าภาวะถดถอย (Recession) โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ
(IMF) ได้ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจโลกปี 2562 เหลือ 3.2%และ
3.5% ในปี 2563 ซึ่งนับว่าตกต่ำที่สุดนับจากปี 2009 (2552)
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ในสถานการณ์ความตึงเครียดของภาวะการค้าโลกปัจจุบัน
ทำให้หลายประเทศประเทศหันมาใช้มาตรการกีดกันทางการค้าอย่างต่อเนื่อง
“การสร้างความเข้มแข็งในกลุ่มภูมิภาค” จึงเป็นหนทางออกเดียวที่หลายฝ่ายเร่งดำเนินการ
เพื่อแก้เกมส์ภาวะเศรษฐกิจโลกผันผวน ทำให้เห็นการเจรจาความตกลงการค้ากรอบต่างๆ
ผุดขึ้นอย่างมากมาย รวมถึงกลุ่มสมาชิก 16 ประเทศตามกรอบการเจรจาความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจระดับภูมิภาค
(RCEP)
ซึ่งประกอบไปด้วย อาเซียน 10 ประเทศ จีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น อินเดีย
ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ที่ได้มีการเจรจากันอย่างเข้มข้นถึงรอบที่ 28 เมื่อวันที่
19-27 กันยายน 2562 ณ เมืองดานัง สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม
และเปิดเวทีเจรจาระดับรัฐมนตรีสมัยพิเศษ
ครั้งที่ 9 ในระหว่างวันที่ 10-12
ต.ค.2562 ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ โดยมีนายจุรินทร์
ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานการประชุม
เพื่อร่วมกันตัดสินใจประเด็นระดับนโยบายที่ยังคงค้างอยู่ เพื่อประกาศความสำเร็จการเจรจา
RCEP
ให้ได้ในปลายปีนี้
นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ ที่ปรึกษาการพาณิชย์
ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนไทยในการเจรจา RCEP รอบที่
28 ระบุถึงความคืบหน้าของการเจรจาว่า ถือเป็นรอบที่พอใจ
มีสัญญาณที่ดีมากหลังจากที่มีการเจรจามายาวนานกว่า 7 ปี โดย RCEP ทั้ง 16 ประเทศ ได้แสดงความยืดหยุ่นมากขึ้นในหลายประเด็น
และร่วมกันผลักดันการเจรจาอย่างเต็มที่ ทำให้สามารถสรุปผลได้แล้ว 13 บท จากทั้งหมด
20 บท เหลือเพียง 7 บทเท่านั้น
หากสมาชิกสามารถบรรลุความตกลง RCEP
ได้ตามเป้าหมายระดับผู้นำ
จะเป็นเครื่องมือหนึ่งในการบรรเทาและลดการกีดกันทางการค้า
รวมถึงสร้างความเชื่อมโยงห่วงโซ่การผลิต ในภูมิภาค ซึ่งเป็นตลาดขนาดใหญ่
ที่มีประชากรรวมกันกว่าครึ่งโลก หรือ 3,500 ล้านคน มีมูลค่า GDP
กว่า 27 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ หรือร้อยละ 32 ของมูลค่า GDP โลก
สำหรับประเทศไทย
จะได้ประโยชน์อย่างมากเช่นกัน เพราะในปี 2561 ไทยกับประเทศสมาชิก RCEP
มีมูลค่าการค้ารวมอยู่ที่ประมาณ 2.9 แสนล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็น
59.8% ของการค้ารวมทั้งหมดของไทย นอกจากนี้
ไทยมีมูลค่าการส่งออกไปยังประเทศสมาชิกอาร์เซ็ป กว่า 1.4 แสนล้านเหรียญสหรัฐ
คิดเป็น 58.8% ของการส่งออกของไทยไปโลก
และไทยนำเข้าสินค้าจากประเทศสมาชิกอาร์เซ็ปกว่า 1.5 แสนล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็น
60.7% ของการนำเข้าไทยจากโลก
การสรุปความตกลง RCEP
ไม่เพียงจะช่วยให้ไทยเปิดตลาดสินค้าได้มากขึ้น
แต่ผู้ประกอบการไทยยังสามารถสรรหาแหล่งวัตถุดิบที่มีความหลากหลาย และสามารถแทรกเข้าไปอยู่ในเครือข่ายภาคการผลิต
และการกระจายสินค้าของภูมิภาค ถือเป็นกลยุทธ์สำคัญในด้านการค้าระหว่างประเทศ
เพื่อรักษาความแข็งแกร่งฝ่ากระแสการค้าโลกผันผวน
No-deal Brexit 3 กลุ่มสินค้าไทยได้ประโยชน์
ส่องภาวะเศรษฐกิจของ EU ล่าสุด