4 เหตุผลที่โควิด ทำให้การฟื้นตัวของสหรัฐฯ ต่างจากวิกฤตอื่น
ขณะที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด 19
ยังคงมีอยู่ทั่วโลก แต่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในปี 2021
กลับดูดีขึ้น ทั้งที่ก่อนนี้เคยเป็นประเทศมีผู้ติดเชื้อโควิด 19
สูงที่สุดในโลกด้วยซ้ำ อะไรทำให้เหตุการณ์พลิกกลับมาในทางที่ดีขึ้น
หรือว่านี่ยังเป็นภาพลวงที่หลอกเราอยู่ มาหาคำตอบเรื่องนี้กัน
นักเศรษฐศาสตร์จาก Decision Economics, Inc. ได้ชี้ให้เห็นถึง 4 สัญญานสำคัญที่แสดงให้เห็นว่า พิษทางเศรษฐกิจในวิกฤตครั้งนี้ไม่เหมือนกับการฟื้นตัวจากภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจระหว่างปี 2533-2534, ปี 2544 และระหว่างปี 2550-2552 อันมีสาเหตุมาจาก
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
1. ความแตกต่างระหว่างภัยธรรมชาติและภัยทางการเงิน
ภาวะเศรษฐกิจถดถอยในอดีตมักเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยหรือมูลค่าสินทรัพย์ที่ลดลง
ส่งผลกระทบต่อผลผลิต รายได้ รวมถึงการจ้างงาน ซึ่งบางครั้งเป็นเวลานานกว่าหนึ่งปี
ในขณะที่ภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจจากแพร่ระบาดของโควิด
19 ไม่ได้เกิดจากปัจจัยทางการเงิน แต่คล้ายกับการหยุดชะงักที่เกิดจากภัยธรรมชาติ ซึ่งอุปสงค์และอุปทานของสินค้าและบริการจะยังคงอยู่ตามปกติ
และเมื่อภัยพิบัติผ่านพ้นไป เศรษฐกิจจะฟื้นตัวได้เร็วกว่าภาวะถดถอยทั่วไป
จากการศึกษาสถิติการคืนภาษีบุคคลธรรมดาของชาวนิวออร์ลีนส์ในปี 2561 พบว่า
หลังจากพายุเฮอริเคนแคทรีนาถล่มครั้งใหญ่ในช่วงแรก รายได้ของผู้ประสบภัยกลับคืนสู่สภาพเดิมภายในเวลาไม่กี่ปี
และยังแซงหน้าผู้ที่ไม่ได้รับผลกระทบอีกด้วย
การได้รับวัคซีนอย่างแพร่หลายเปรียบเสมือนการควบคุมภัยธรรมชาติ
ส่งผลให้ผู้บริโภคกลับมาใช้จ่ายมากขึ้น และธุรกิจต่างๆ
กลับมาเปิดใหม่ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา และการจ้างงานก็เพิ่มมากขึ้น
2. นโยบายการเงินและการคลัง
รัฐบาลเร่งกำหนดนโยบายทางการเงินการคลัง เพื่อตอบสนองต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด
19 อย่างรวดเร็ว จึงทำให้สามารถจำกัดความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจ และส่งเสริมให้เกิดการฟื้นตัวที่รวดเร็วขึ้น
อาทิ การจ่ายเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ การขยายผลประโยชน์การว่างงาน และโครงการ Paycheck
Protection Program โดยใช้งบประมาณสูงกว่านโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในครั้งก่อน
คิดเป็นมูลค่า 5.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 4.4% ของ GDP จนถึงปี 2567
เทียบกับงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจในปี 2550-2552
ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 1.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 2.4% ของ GDP ระหว่างปี 2551 ถึง 2555
ธนาคารกลางสหรัฐฯ ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ย
ริเริ่มการซื้อพันธบัตรขนาดใหญ่
และรักษาอัตราดอกเบี้ยให้อยู่ในระดับต่ำเกือบศูนย์จนกว่าการจ้างงานเต็มจำนวนจะกลับมา
โดยมีอัตราเงินเฟ้ออยู่เหนือเป้าหมายที่ 2% และอาจจะไม่มีการปรับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นจนถึงปี
2567
ผลลัพธ์คือรายได้ของครัวเรือนเพิ่มขึ้นอย่างมากจากระดับก่อนเกิดโรคระบาด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับครอบครัวที่มีรายได้ต่ำ
3. ครัวเรือนและธุรกิจที่มีการฟื้นตัวดีขึ้น
คาเรน ไดแนน
ศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดกล่าวว่า บ่อยครั้งที่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยเกิดขึ้นเนื่องจากความไม่สมดุลบางอย่าง
เรามีที่อยู่อาศัยมากเกินไป หรือมีหนี้สินมากเกินไป หรือมีเงินเฟ้อมากเกินไป
แต่ความไม่สมดุลดังกล่าวเกิดขึ้นเพียงเล็กน้อยเมื่อเกิดการระบาดใหญ่
เนื่องจากนโยบายกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจได้ช่วยป้องกันความเสียหายในวงกว้าง
การออมมักจะเพิ่มขึ้นเมื่อเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย
เนื่องจากครัวเรือนกังวลกับการใช้จ่ายและต้องการออมเงินสด แต่ก็ไม่เคยมากขนาดนี้
ชาวอเมริกันออมเงินในอัตรา 2.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปีในเดือนเมษายนที่ผ่านมา
ซึ่งมากกว่าก่อนเกิดวิกฤตถึง 2 เท่า
ส่งผลให้พวกเขาใช้จ่ายฟุ่มเฟือยมากขึ้นเมื่อเศรษฐกิจกลับมาเปิดทำการอีกครั้ง
4. ปัญหาการขาดแคลน ภาวะคอขวด
ความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ
ข้อเสียอย่างหนึ่งของการฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว
คืออุปสงค์ฟื้นตัวเร็วกว่าอุปทาน ทำให้เกิดภาวะ ‘คอขวด’ และแรงกดดันด้านค่าจ้าง-ราคา ซึ่งปกติแล้วจะเกิดขี้นในช่วงหลายปีหลังจากการฟื้นฟูเศรษฐกิจ
อัตราเงินเฟ้อมักจะปรับตัวลดลงในช่วงระหว่างภาวะถดถอย
และการฟื้นตัวในช่วงต้นจากนั้นค่อยๆ เพิ่มขึ้น แต่ในครั้งนี้ดัชนีราคาผู้บริโภค (ไม่รวมอาหารและพลังงาน)
ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วที่ 0.9%
ตั้งแต่เดือนมีนาคม-เมษายน ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นรายเดือนที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ปี
2525
ในส่วนของการจ้างงาน
นายจ้างที่ต้องการจ้างงานกำลังเผชิญปัญหาการขาดแคลนแรงงาน
โดยระหว่างเดือนเมษายนของปีที่แล้วถึงมีนาคมของปีนี้
จำนวนผู้หางานต่อหนึ่งงานที่เปิดรับสมัครลดลงจาก 5 เหลือเพียง
1.2 ตำแหน่ง
ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วเมื่อเทียบกับสภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสองครั้งก่อน
อ้างอิง :