ข้าวเวียดนามกำลังแซงไทย! ถึงเวลาอัพเกรดเกษตรส่งออกด้วย นวัตกรรมและเทคโนโลยี
ข้าวเวียดนามกำลังแซงไทย!!!
อาจจะไม่ใช่เรื่องเล็กๆ หากจะบอกว่า ขีดความสามารถทางการค้าของสินค้าเกษตรไทย ด้อยกว่าคู่แข่งในอาเซียน โดยข้อมูลในงานวิจัย โดยสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ)
เรื่อง ผลกระทบต่อภาคเกษตรไทยจากการรวมตัวเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
ระบุว่า สินค้าเกษตรที่คู่แข่งในอาเซียนมีความสามารถในการแข่งขันสูงกว่าไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านต้นทุนการผลิตและคุณภาพสินค้า โดยเหตุผลคือคู่แข่งมีเทคโนโลยีที่ทัดเทียม หรือ เริ่มดีกว่าไทยเพราะมีการวิจัยมากกว่าไทยและการวิจัยสามารถตอบสนองความต้องการของตลาด
ยกตัวอย่างกรณี การวิจัยพันธุ์ข้าวหอมพื้นนุ่มสายพันธุ์ข้าว ST25 ซึ่งปลูกบนดินดอนสามเหลี่ยมแม่น้ำโขงของเวียดนาม ที่ได้กลายมาเป็น‘ข้าวสายพันธุ์ดีที่สุดในโลก’ จากการประกวดในระหว่างการประชุมข้าวโลกเมื่อปี 2563 ที่ผ่านมา ที่สำคัญสายพันธุ์ข้าว ST25 ยังตรงกับความต้องการของผู้บริโภคในจีน และให้ผลผลิตต่อไร่สูงมากกว่าข้าวหอมมะลิของไทย
ดังจะเห็นได้ชัดว่า ปัจจุบันคู่แข่งตลาดสินค้าเกษตรโลกของไทยที่เป็นประเทศกำลังพัฒนามีต้นทุนถูกกว่าไทย และแม้ในอดีตไทยประสบความสำเร็จในตลาดการค้าข้าวโลก ซึ่งปัจจัยหนึ่งที่สำคัญคือการพัฒนาสายพันธุ์ข้าวให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ และรสนิยมของผู้บริโภค ส่งผลให้ที่ผ่านมาข้าวหอมมะลิไทยได้รับความนิยมและมีราคาแพง ทว่าจากข้อมูลล่าสุด คู่ค้าข้าวทั้งเวียดนาม และอินเดียมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีอาจจะเพราะทราบดีว่า การรักษา หรือเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในตลาดสินค้าเกษตรโลกรวมถึงการเพิ่มรายได้ต่อหัวให้เกษตรกรในประเทศก้าวผ่านความยากจน คงหนีไม่พ้นการใช้เทคโนโลยีเกษตรสมัยใหม่ ด้วยเหตุนี้ ที่ผ่านมาเวียดนามจึงมีการพัฒนาด้านนี้อย่างน่าสนใจ
เวียดนามกำลังก้าวสู่เกษตรอัจฉริยะ
โดยก่อนหน้านี้ทางด้านกรมวิชาการเกษตรและการพัฒนาชนบทในเวียดนามได้มีการระบุถึงแนวทางในการพัฒนาการเกษตรอัจฉริยะเป็นแนวโน้มของการผลิตทางการเกษตรทั่วโลกรวมทั้งในเวียดนามด้วย ด้วยเหตุนี้จึงมีการกำหนดให้ ‘ฮานอย’ เป็นโมเดลการผลิตทางการเกษตรไฮเทค 164 โมเดล อาทิเช่น การผลิตพืชผล 105 โมเดล การผลิตปศุสัตว์ 39 โมเดลการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ 15 โมเดล และโมเดลที่ผสมการเพาะปลูกและการเลี้ยงสัตว์อีก 1 โมเดล โดยในปัจจุบัน มูลค่าของสินค้าเกษตรไฮเทคคิดเป็นร้อยละ 35 ของมูลค่าการผลิตทางการเกษตรทั้งหมดในเมืองฮานอย ซึ่งเทคโนโลยีและอุปกรณ์ที่ทันสมัยในการผลิตทางการเกษตรได้ช่วยลดการใช้แรงงาน เพิ่มคุณภาพ ซึ่งผลการผลิตทางการเกษตรถือเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดโมเดลการเกษตรไฮเทคนำประสิทธิภาพมาสู่การเกษตรของเมืองมากขึ้น
ทั้งนี้ ภาคเกษตรของฮานอยได้ส่งเสริมการนำทางวิทยาศาสตร์มาประยุกต์ใช้กับการผลิตทางการเกษตร ได้แก่ เทคโนโลยีโรงเรือนที่มีระบบรดน้ำอัตโนมัติ(ในด้านการเพาะปลูก)ระบบระบายความร้อนเพื่อช่วยให้อุณหภูมิและความชื้น สายป้อนอาหารอัตโนมัติ การผสมเทียม (ปศุสัตว์)การใช้ผลิตภัณฑ์ชีวภาพและเครื่องกำเนิดออกซิเจนอัตโนมัติ(เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ)
คู่แข่งเกษตรส่งออกเริ่มมีเทคโนโลยีทัดเทียม
รวมทั้งอินเดีย อีกหนึ่งคู่แข่งส่งออกไทยในตลาดค้าข้าว รวมทั้งสินค้าเกษตรหลายประเภทที่ผ่านมาได้มีการลงทุนด้านวิจัยและส่งเสริมการเกษตรอย่างจริงจัง การพัฒนาพันธุ์ข้าวลูกผสมทำให้ผลผลิตต่อไร่สูงขึ้นมาก และมีพันธุ์ข้าวที่เป็นที่นิยมของตลาดสำคัญที่เคยเป็นตลาดของไทยรวมถึงที่ผ่านมา จีนก็ยังทุ่มการวิจัยโดยเน้นการปรับปรุงข้าวพันธุ์ลูกผสม (hybrid) ที่ให้ผลผลิตต่อไร่สูงมากเพื่อลดการพึ่งพิงการนำเข้า
นอกจากนั้นแม้แต่เมียนมาและกัมพูชา ซึ่งที่ผ่านมาได้รับความช่วยเหลือทางเทคโนโลยีสมัยใหม่จากประเทศพัฒนาแล้ว (Norad) และองค์กรระหว่างประเทศ ทำให้ที่ผ่านมาทั้งสองประเทศมีการพัฒนาด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมการเกษตรในหลายด้านเพื่อเพิ่มรายได้ให้เกษตรกร เพิ่มความสามารถในการแข่งขันในตลาดส่งออก
เหตุผลที่เกษตรไทยต้องส่งเสริมเทคโนโลยีและนวัตกรรมเห็นว่าประเด็นหลักๆ คือเรื่องขีดความสามารถในการค้า การแข่งขันในตลาดโลกแต่ทำไมเราถึงเน้นย้ำให้เกษตรกรเข้าใจและตระหนักเรื่องการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันซึ่งนอกจากประเด็นเรื่อง ‘ตลาดข้าวโลก’ ที่เรานำมาเปรียบเทียบเมื่อเป็นข้อมูลให้เห็นว่าคู่แข่งทั่วโลกมีการพัฒนาและต่อยอด ทั้งเห็นความสำคัญต่อการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมายกระดับภาคเกษตร
ดังนั้นสำหรับภาคเกษตรไทย ตั้งแต่ผู้ผลิตต้นน้ำ ซึ่งคือเกษตรกร พ่อค้าผู้ประกอบการแปรรูป และผู้ส่งออก ต่างมีส่วนเกี่ยวพันธ์เป็นห่วงโซ่การค้าดังนั้นหากจะมีการยกระดับและพัฒนาวงการเกษตรไทย ให้ก้าวทันหรือก้าวล้ำไปอีกขั้นจะต้องเกิดเป็นความร่วมมือ หรือการรวมกลุ่มเพื่อส่งเสริมจากหลายภาคส่วน มุ่งเน้นผลิตสินค้าเกษตรอาหารที่มีคุณภาพปลอดภัย/ถูกหลักโภชนาการ (healthy foods) ในราคาที่เหมาะสมและที่สำคัญ คือเป็นระบบการผลิตและห่วงโซ่การผลิตแบบยั่งยืนเป็นมิตรต่อ สิ่งแวดล้อม อนุรักษ์นิเวศและทรัพยากรการเกษตร
โดยการเพิ่มขีดความสามารถในการผลิตและการแข่งขันทางการค้าด้วยการวิจัย/การส่งเสริม การสร้างความชำนาญเฉพาะอย่าง (specialization)ตลอดจนถึงการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานและโลจิสติกส์ที่มีประสิทธิภาพเพื่อยกระดับ เป็นนำไปสู่คำตอบที่แท้จริงของวัตถุประสงค์ว่าทำไมเกษตรไทยยังต้องมีการส่งเสริมด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมอยู่เสมอ
แหล่งอ้างอิง:
สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย
สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงฮานอย
https://biothai.net/node/30607