เป็นที่ฮือฮาไปทั้งบางกับปรากฏการณ์ยางโลกขาดตลาด
ซึ่งเป็นการทำงานของกลไกการตลาด จากกำลังการผลิตที่ลดจำนวนลงเพราะราคาไม่จูงใจ ในขณะที่ขั้นตอนการผลิตยุ่งยาก
ได้เงินช้ากว่าการขายน้ำยางสด จึงทำให้ปริมาณการผลิตยางแผ่นในท้องตลาดลดลงไป
ท่ามกลางกระแสของการโค่นต้นยางหันไปปลูกพืชชนิดอื่นที่ให้ผลตอบแทนดีกว่า ประกอบกับการหยุดชะงักของตลาดยางล้อและผลิตภัณฑ์จากยางพารา
และแรงงานกลับบ้านในช่วงล็อกดาวน์ทำให้สต็อกขาด ยางแผ่นจึงไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาดที่เริ่มกลับคืนสู่ปกติ
การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) รายงานสถานการณ์ราคายางพารา ณ วันที่ 1 ก.ย. 2563 ใสส่วนราคาประมูลเฉลี่ย ณ ตลาดกลาง ยางพารายางแผ่นดิบอยู่ที่ 55.39 บาทต่อกิโลกรัม ราคายางแผ่นรมควันอยู่ที่ 60.05 บาทต่อกิโลกรัม ขณะที่ราคา FOB อยู่ที่ 62.90 บาทต่อกิโลกรัม โดยราคายางมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น ตลาดหุ้นอเมริกาบวก เงินดอลลาร์สหรัฐทรงตัว ราคาเงินเยนอ่อนค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
นายสมพร เต็งรัง
ประธานกรรมการชุมนุมสหกรณ์จังหวัดตรัง จำกัด ประเมินว่า ราคายางที่เพิ่มขึ้นมานั้นยังไม่หวือหวามากนัก
สาเหตุที่ยางแผ่นขาดตลาด เนื่องจากราคายางแผ่นรมควันต่างจากน้ำยางสดแค่ 2-3 บาทต่อกิโลกรัม
ต้นทุนของการนำน้ำยางสดไปผลิตเป็นยางแผ่นรมควันไม่ต่ำกว่า 6 บาท/กิโลกรัม
เพราะถ้านำน้ำยางไปผลิตเป็นยางแผ่นดิบ หรือแผ่นรมควันขาดทุน บวกกับแรงงานขาดแคลนเนื่องจากติดโควิด
19 ทำให้แรงงานยังไม่สามารถเข้าประเทศได้ หลายองค์ประกอบจึงทำให้ยางแผ่นดิบ
และแผ่นรมควันขาดตลาด
นอกจากนี้ยังมีปัจจัยหนุนทำให้ราคายางเพิ่มขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นภาวะภัยแล้ง เกษตรกรส่วนหนึ่งได้โค่นยางไปปลูกชนิดอื่น เช่น ทุเรียน
ประกอบกับยางในพื้นที่ภาคใต้ของไทยต้องเจอกับโรคใบร่วงชนิดใหม่ไม่สามารถกรีดยางได้
ทำให้ปริมาณยางในตลาดลดลง
ขณะเดียวกันสต็อกยางในต่างประเทศหลายประเทศเริ่มเอาออกมาใช้ ทำให้ปริมาณสต็อกยางก็ลดลง
ล้วนแต่เป็นปัจจัยบวกต่อราคายางพารา
โดยในช่วงที่เกิดโควิด
ความต้องการใช้น้ำยางสดจากถุงมือยางในช่วงเดือน พ.ค.-ก.ค. มีราคาสูงขึ้นกว่าราคาน้ำยางก้อนถ้วย
และยางแผ่นดิบ ทำให้ผลผลิตที่ออกมาปริมาณน้อยอยู่แล้วได้ใช้น้ำยางสดเข้าไปโรงงานน้ำยางข้น
ทำให้ปริมาณการผลิตเป็นยางแผ่นดิบลดลงไปด้วย บวกอานิสงส์แล้งยาว
ส่งผลทำให้ยางแผ่นรมควันหายไปจากตลาด 2 เดือนเต็ม จากราคาน้ำยางแพง
แต่ปัจจุบันราคายางแผ่นดิบ ราคาเริ่มกลับมาจะทำให้ชาวสวนยางหันกลับมาทำยางแผ่นดิบ
และยางแผ่นรมควันใหม่อีกครั้ง คาดว่าจะใช้ระยะเวลา 2 อาทิตย์เท่านั้น
ตลาดจะกลับคืนสู่ภาวะปกติ
ทั้งนี้ยางแผ่นรมควันนับเป็นการแปรรูปยางขั้นพื้นฐานจากน้ำยางดิบ
เพื่อนำไปใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรมขั้นต่อไป เช่น ยางรถยนต์
ที่มีการใช้มากที่สุด รองลงมาได้แก่ ยางรัดของ ยางลบ ท่อยาง และยางพื้นรองเท้า
เป็นต้น ปัจจุบันประเทศไทยเป็นผู้ผลิตและส่งออกยางธรรมชาติอันดับหนึ่งของโลก
โดยร้อยละ 95 ของผลผลิตจะถูกส่งออก ที่เหลืออีกร้อยละ 5 ใช้ในประเทศ
ผลิตภัณฑ์ส่งออกส่วนใหญ่เป็นยางแผ่นรมควันถึงร้อยละ 52
ปริมาณการใช้ยางในประเทศในแต่ละปีอยู่ในระดับประมาณ 4-5 หมื่นตัน ในขณะที่มีการส่งออกถึงกว่าล้านตันต่อปี
แนวโน้มสถานการณ์ยางพาราไทย
ปัจจุบันไทยเป็นผู้ผลิตและส่งออกยางพาราอันดับหนึ่งของโลก
แต่กลับไม่สามารถกำหนดราคาขายเองได้ จากการผลิตเพื่อส่งออกกว่าร้อยละ 80 และยางพาราเป็นสินค้าโภคภัณฑ์
(Commodity)
จึงถูกกำหนดราคาจากอุปสงค์และอุปทานในตลาดโลก
ไทยจำต้องยอมรับราคาตามกลไกลการตลาด ดังนั้นเมื่อยางแผ่นมีการผลิตน้อยลง
ท่ามกลางน้ำยางที่ถูกนำส่งไปแปรรูปเป็นถุงมือยาง ภัยแล้ง
โรคระบาดและการลดพื้นที่ปลูก ย่อมทำให้ปริมาณความต้องการใช้สวนทางกับกำลังการผลิต
จากสถานการณ์ด้านราคายางพาราที่ยังคงตกต่ำมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่กลางปี
2554 ถึงปัจจุบัน จากอุปทานส่วนเกินของประเทศ และผลผลิตส่วนเกินของโลก 2.2 แสนตัน
ในปี 2554 และ 6.4 แสนตัน ในปี 2556
ในขณะที่ผลผลิตยางของไทยได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงผลผลิตของประเทศอินโดนีเซียและเวียดนามที่เพิ่มขึ้นตามมา
ทำให้ราคายางต่ำดิ่งลงจากยุคทองที่เคยจำหน่ายได้ในราคากิโลกรัมละไม่ต่ำกว่า 100
บาท อาจจะไม่หวนกลับมาแล้วในปัจจุบัน แม้แนวโน้มราคายางพาราจะขยับขึ้นอีกเล็กน้อยก็ตาม
ปัจจุบันราคายางในไตรมาส 2/2563 ช่วงต้นไตรมาสได้รับปัจจัยกดดันจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด
19 ราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลง เนื่องจากภาวะอุปทานน้ำมันล้นตลาด
รวมทั้งทิศทางราคายางตลาดล่วงหน้าต่างประเทศเคลื่อนไหวอยู่ในช่วง Downtrend
และอุปสงค์ยางลดลง จากการปิดโรงงานผลิตรถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์ในอเมริกา
ยูโรโซน และบางกิจการในไทย
ทำให้ผู้ประกอบการภายในประเทศสามารถส่งออกยางได้ช่วงกลางไตรมาส
หลังจากหลายประเทศเริ่มผ่อนคลายมาตรการล็อคดาวน์
และอยู่ในทิศทางเดียวกับสัญญาณตลาดล่วงหน้าสิงคโปร์ รวมทั้งค่าเงินบาท
และค่าเงินเยนอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ เนื่องจากกระแสเงินทุนเคลื่อนย้าย
และนักลงทุนเข้าซื้อดอลลาร์ในฐานะสกุลเงินปลอดภัยและมีสภาพคล่องสูง
ทำให้ราคายางในช่วงต้นไตรมาส 2/2563
ปรับตัวลดลงแรงจากปัจจัยกดดันก่อนฟื้นตัวในช่วงปลายไตรมาส
สถานการณ์การส่งออกยางพาราเดือน ม.ค.-ก.พ.
63 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากภาคการผลิตยานยนต์ที่ใช้ยางพาราเป็นส่วนประกอบในการผลิตชิ้นส่วนและยางล้อ
รวมไปถึงความต้องการถุงมือยางที่เพิ่มขึ้นในตลาดโลกจากผลกระทบการแพร่ระบาดของโควิด
19 ทำให้ราคายางมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นจากปีก่อน โดยเฉพาะราคาน้ำยางข้น
ซึ่งการส่งออกน้ำยางข้นขยายตัวสูงถึงร้อยละ 28.69 และถูกใช้เป็นวัตถุดิบหลักในการนำไปผลิตถุงมือยาง
ที่กำลังเป็นที่ต้องการทั่วโลกในขณะนี้
โดยตลาดหลักในการส่งออกยังคงเป็นประเทศจีนร้อยละ
41.09, มาเลเซียร้อยละ 13.82, ญี่ปุ่นร้อยละ 8.56, สหรัฐอเมริการ้อยละ 7.21
รวมเป็นสัดส่วนร้อยละ 70.68 สำหรับตลาดที่ขยายตัวสูง ได้แก่ ลัตเวียร้อยละ 255.33,
อินโดนีเซียร้อยละ 144.37, จีนร้อยละ34.37, ไต้หวันร้อยละ 26.71
ทั้งนี้แม้ประเทศไทยจะมีจุดแข็งที่เป็นผู้ส่งออกยางแปรรูปขั้นต้นอันดับ
1 ของโลกที่มีคุณภาพและมาตรฐานสูง และเป็นที่ยอมรับระดับโลก
รวมถึงมีหน่วยงานกำกับดูแลและส่งเสริมอุตสาหกรรมยางอย่างครบวงจร และเกษตรกร
ผู้ประกอบการยางพาราไทย มีความรู้ความเชี่ยวชาญ แต่ก็ยังมีอุปสรรคและจุดอ่อนที่น่าห่วงกังวลอยู่มาก
ดังนั้นการที่คิดจะกระโดดลงมาเล่นยางพาราควรคิดวิเคราะห์หาลู่ทางให้ดี อย่าทำกระแสโดยไม่ศึกษาข้อมูลว่าสถานการณ์ที่ทำให้ราคายางพาราไม่สดใสมาเป็น
10 ปี นั้นมีผลมาจาก
1. ไทยยังมีการพึ่งพาการส่งออกยางพาราเป็นหลัก
เมื่อเศรษฐกิจโลกชะลอตัว เช่น ปัญหาสงครามทางการค้า โรคระบาด ส่งผลกระทบต่อการส่งออกไปตลาดหลัก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศจีน
2. ราคายางพาราอ้างอิงจากตลาดซื้อขายล่วงหน้าในต่างประเทศเป็นหลัก
จึงทำให้มีการเก็งราคาและแทรกแซงราคา จนเกิดความผันผวนของราคาสูง
ซึ่งไม่สะท้อนกับความเป็นจริง
3. ราคายางพารายังอ้างอิงจากราคาน้ำมันโลก
จึงเกิดความผันผวนของราคาสูงและอยู่เหนือการควบคุมได้
4. กลุ่มประเทศ CLMV
หันมาปลูกยางพาราเพิ่มขึ้น
ทำให้เกิดภาวะอุปทานยางพาราโลกเกินกว่าอุปสงค์
5. ต้นทุนการผลิตและการส่งออกไทยสูงกว่าคู่แข่งขัน
(ต้นทุนแรงงานและพลังงาน) เช่น อินโดนีเซีย เวียดนาม
6. ค่าเงินบาทไทยที่แข็งค่า
ส่งผลต่อความได้เปรียบในการแข่งขัน
7. ปัญหาการชำระเงิน และการยกเลิกสัญญาของกลุ่มลูกค้าบางราย
แหล่งอ้างอิง :