จากตัวเลขการส่งออกของไทยไปยังตลาดรัสเซียเดือนสิงหาคม 2562 มีมูลค่า 92.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ถึงแม้จะเป็นเดือนที่มีมูลค่าสูงที่สุดของปีนี้ แต่เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีที่ผ่านมากลับ ลดลงร้อยละ 12.24 ส่งผลให้ยอดส่งออกสะสมในช่วง 8 เดือนแรกมีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 679.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลงร้อยละ 14.48 โดยได้รับผลกระทบมาจากผู้บริโภคเกิดความความไม่มั่นใจทางเศรษฐกิจจากสถานการณ์ความผันผวนของหลายปัจจัย เช่น สงครามการค้า มาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจจากโลกตะวันตก ราคาน้ำมัน และอัตราแลกเปลี่ยน รวมทั้งภาวะทางเศรษฐกิจในประเทศที่ชะลอตัวลง
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
สินค้าส่งออก 10 อันดับแรก มีสัดส่วนกว่าร้อยละ 70 ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด โดยรถยนต์ อุปกรณ์ และ ส่วนประกอบ
ยังคงเป็นกลุ่มสินค้าส่งออกอันดับหนึ่งของไทย
เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีที่ผ่านมา พบว่ามีการเติบโตเป็นลบร้อยละ 21 ด้วยมูลค่ารวม 33.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ในจำนวนนี้ส่วนใหญ่มาจากรถยนต์นั่งคิดเป็นมูลค่า 16.63
ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามมาด้วยส่วนประกอบและอุปกรณ์รถยนต์อีก 10.16 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่เหลืออีก 6.63
ล้านดอลลาร์สหรัฐเป็นรถปิคอัพ
นอกจากนั้นหมวดสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมยานยนต์
ภายใต้หมวดเครื่องยนต์สันดาปภายในแบบลูกสูบและส่วนประกอบ
ก็เปลี่ยนแปลงไปในทิศทางเดียวกันด้วย ยกเว้นผลิตภัณฑ์ยาง
ที่ส่วนใหญ่เป็นยางรถยนต์กลับมาขยายตัวได้อีกครั้ง
ผ่าน 8 เดือนแรกยังไม่ฟื้นตัว
ทั้งนี้ 7 ใน 10 อันดับแรกของสินค้าไทยที่ส่งไปรัสเซียมีอัตราการขยายตัวในแดนลบ
โดยเฉพาะสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับที่หดตัวอย่างต่อเนื่องมานานนับปีก็ยังไม่มีทีท่ากระเตื้องขึ้น
อันสะท้อนให้เห็นถึงพฤติกรรมการระมัดระวังการใช้จ่ายของผู้บริโภค จากความไม่มั่นใจในสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในอนาคตได้กลับมาอีกครั้ง
ซึ่งสินค้าฟุ่มเฟือยอย่างอัญมณีและเครื่องประดับมักจะเป็นรายการแรกๆ
ที่ผู้บริโภคตัดออกจากแผนการใช้จ่าย
อีกทั้งหมวดสินค้าอาหารและเครื่องดื่มโดยเฉพาะผลไม้กระป๋องและแปรรูป
ได้ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องมาหลายเดือน ซึ่งประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกสินค้าสับปะรดกระป๋องเป็นอันดับหนึ่งในตลาดรัสเซียมาโดยตลอด
จากการสอบถามกับผู้ส่งออกรายใหญ่พบว่ามีปัญหาเรื่องผลผลิตสับปะรดภายในประเทศขาดแคลนและประสบปัญหาภูมิอากาศทำให้คุณภาพผลผลิตต่ำลง ที่อาจจะส่งผลต่อเนื่องไปจนถึงกลางปี 2563 ขณะเดียวกันประเทศคู่แข่งอย่างอินโดนีเซียก็ใช้นโยบายการตลาดเชิงรุกมากขึ้น ยกเว้น อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป ที่กลับมาขยายตัวได้อีกครั้งแต่ก็ยังมีความผันผวนสูงในแต่ละเดือน
ทั้งพิจารณาโครงสร้างสินค้าส่งออกจากไทยไปยังตลาดรัสเซีย จะพบว่ากลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมเป็นกลุ่มสินค้าหลักที่ครองส่วนแบ่งจากทั้งหมดกว่าร้อยละ 82 โดยมีหมวดรถยนต์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบเป็นสินค้าหลัก (ร้อยละ 38)
ตามมาด้วยผลิตภัณฑ์ยาง (ร้อยละ 9.3) และเครื่องจักรกลและส่วนประกอบของเครื่องจักรกล
(ร้อยละ 4.3) กลุ่มถัดมาเป็น กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมการเกษตร
สัดส่วนร้อยละ 9 ที่มีสินค้าผลไม้กระป๋องและแปรรูปเป็นตัวนำ
(ร้อยละ 4.3) รองลงมาได้แก่ อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป
(ร้อยละ 1.74) ถัดไปเป็น กลุ่มสินค้าเกษตรกรรม
มีสัดส่วนร้อยละ 7.1
แบ่งเป็นกลุ่มสินค้ากสิกรรมอันประกอบไปด้วยข้าว (ร้อยละ 1.7) ยางพาราและผลไม้สด (ร้อยละ 1.4 และ 0.9 ตามลำดับ) เป็นสินค้าหลัก รวมทั้งกลุ่มสินค้าประมง (ร้อยละ 1.1)
จากมูลค่าการส่งออกในช่วง 8 เดือนแรก จะเห็นว่าสินค้ารถยนต์ อุปกรณ์
และส่วนประกอบ ยังคงมีบทบาทสำคัญและเป็นสินค้าหลักมีมูลค่าสูงที่สุดกว่า 257
ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยครองสัดส่วนการส่งออกของทั้งหมดเกือบร้อยละ 40
ข้อมูลสถิติของ World Trade Atlas พบว่าในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้
การนำเข้ารถยนต์นั่งประเภทเครื่องยนต์ดีเซลขนาดระหว่าง 1,500-2,500 ซีซี จากไทยไปยังรัสเซียหายไปหมดเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา แต่รถยนต์นั่งเครื่องยนต์ดีเซลขนาดเกินกว่า 2,500 ซีซี
ยังขยายตัวได้เล็กน้อย ซึ่งทั้งนี้ขึ้นอยู่กับนโยบายบริษัทแม่ในต่างประเทศเป็นสำคัญ ผลิตภัณฑ์ยางร้อยละ 77 ของทั้งหมดเป็นยางใหม่สำหรับยานพาหนะต่างๆ
รองลงมาร้อยละ 8.06 เป็นถุงยางอนามัย ร้อยละ 3.8 เป็นถุงมือยาง และร้อยละ 2.21 เป็นยางรัดของ
อย่างไรก็ตามสินค้ายางใหม่สำหรับยานพาหนะนำเข้ามักมีคุณภาพและราคาสูงกว่าของที่ผลิตในประเทศซึ่งมีภาวะเศรษฐกิจเป็นปัจจัยสำคัญต่อการเติบโต โดยสินค้ายางรถยนตจ์ากจีนสามารถช่วงชิงส่วนแบ่งการตลาดได้เพิ่มขึ้นขณะที่นำเข้าจากไทยลดลง แต่ยางสำหรับรถบัส และรถบรรทุกของไทยยังสามารถขยายตลาดได้
ตลาดไร้แรงหนุน ผู้บริโภครัดเข็มขัด
สำหรับสินค้าเด่นอื่นๆ ได้แก่
อัญมณีและเครื่องประดับ สินค้าส่วนใหญ่เป็นเครื่องประดับทำด้วยเงิน สินค้าหมวดนี้เคยขยายตัวขึ้นเป็นที่น่าพอใจมาตลอดในช่วงสองปีที่ผ่านมา
จนมาเริ่มสะดุดเอาในเดือนกันยายนและตุลาคม 2561 เป็นต้นมา
แต่ด้วยค่าเงินบาทที่แข็งตัวอย่างต่อเนื่อง
บวกกับกำลังซื้อที่ปรับตัวลดลงจนทำให้ร้านค้าต้องปิดตัวลงหลายราย
อีกทั้งการปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มที่มีผลตั้งแต่ต้นปีนี้ล้วนเป็นปัจจัยลบต่อการขยายตัว
ขณะที่ผู้บริโภคก็ต้องปรับตัวโดยการเพิ่มความระมัดระวังในการใช้จ่ายโดยเฉพาะกับสินค้าฟุ่มเฟือยมากยิ่งขึ้น
จากแหล่งข้อมูลสถิติ World Trade Atlas พบว่าในช่วง
7 เดือนแรกของปี 2562 รัสเซียนำเข้าสินค้าเครื่องประดับลดลงร้อยละ 46 ใน
หมวดเครื่องประดับเงินที่ไทยมีการส่งออกมากที่สุดปรับตัวลดลงโดยรวมร้อยละ 27 ขณะที่อิตาลีสามารถเพิ่มสัดส่วนการตลาดได้ถึงร้อยละ
39
จากการพยากรณ์ทางเศรษฐกิจปี พ.ศ. 2562
โดยธนาคารโลกคาดว่าเศรษฐกิจของรัสเซียจะเติบโตอย่างช้าๆ ใน อัตราร้อยละ 1.2
นอกจากได้รับผลกระทบด้านลบเรื้อรังจากมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจจากสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรปที่จะทวีความเข้มข้นขึ้นเป็นลำดับแล้ว
ยังมีปัจจัยภายในประเทศเกี่ยวกับการปฏิรูประบบเงินบำนาญ
และการปรับขึ้นอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มทำให้ราคาสินค้าแพงขึ้น
รวมทั้งการปรับเพิ่มอัตราภาษีสรรพสามิตสำหรับบุหรี่ และสุรา
ตลอดจนการปรับขึ้นราคาค่าบริการโดยสารสาธารณะและค่าสื่อสารที่ล้วนแต่เพิ่มภาระค่าใช้จ่ายให้กับผู้บริโภค
ดังนั้นสินค้านำเข้าที่มีราคาสูงกว่าสินค้าภายในประเทศก็ย่อมได้รับผลกระทบไปด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
กล่าวโดยสรุปมีความเป็นไปได้ว่าในปี พ.ศ. 2562
เศรษฐกิจของรัสเซียอาจจะวนเวียนเข้าสู่สภาวะชะงักงันอีกครั้ง
อ้างอิงข้อมูล : สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงมอสโก สหพันธรัฐรัสเซีย