จากรายงานจากกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมสิงคโปร์
(The Ministry of Trade and Idustry -MTI) ที่ได้ปรับลดประมาณการ GDP สิงคโปร์ว่าจะขยายตัว 1.5-2.5%
จากที่เคยคาดการณ์ไว้ว่าจะขยายตัว 1.5-3.5% หลังจากที่ GDP ในไตรมาสแรกเติบโต
1.2% ต่ำสุดในรอบ 10
ปี นับจาก ปี 2552 และสถานการณ์ดังกล่าวอาจจะทำให้เศรษฐกิจในปี
2563 เกิดภาวะถดถอย
ปัจจัยสำคัญ
คือสิงคโปร์มีระบบการค้าแบบเปิดพึ่งพาการส่งออกมากกว่าประเทศอื่นในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้(อาเซียน)
โดยรายได้จากการส่งออกคิดเป็นสัดส่วน 200%
ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศสิงคโปร์หรืออาจจะเรียกได้ว่ามีสัดส่วนที่มีขนาดใหญ่กว่าประเทศมาเลเซียหรืออินโดนีเซียด้วย
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ลี เซียน ลุง มั่นใจสิงคโปร์สามารถปรับตัว
ล่าสุด นายลี
เซียน ลุง นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ กล่าวถึงจุดยืนของสิงคโปร์ที่กําลังเผชิญภาวะการชะลอตัวของเศรษฐกิจว่า เมื่อใดก็ตามที่สิงคโปร์จะต้องเผชิญหน้ากับการทดสอบ
จะก่อให้เกิดการคิดค้นสิ่งใหม่ ๆ และการเริ่มต้นในการประสบผลสําเร็จอีกครั้งหนึ่ง
นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ได้ตั้งข้อสังเกตว่า
ถึงแม้ว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจโลกกําลังชะลอตัว
ความต้องการและการค้าทั่วโลกมีความอ่อนแอลงและวงจรอิเล็กทรอนิกส์ก็ชะลอตัวลงทั่วโลก
อย่างไรก็ดี ในส่วนอื่น ๆ ของเศรษฐกิจยังคงไปได้ดี โดยเฉพาะในด้านอุตสาหกรรม
โดยสิงคโปร์เคยประสบกับการชะลอตัวเช่นนี้มาก่อนและสามารถนําไปใช้ในการพัฒนาต่อไปได้
โดยพื้นฐานแล้ว
โลกกําลังก้าวเข้าสู่ช่วงเวลาที่ลําบากมากขึ้นด้วยความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ ได้แก่
(1) ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ
(2) ความไม่ลงรอยกันระหว่างมหาอํานาจ และ
(3) ภัยคุกคาม เช่น ภาวะโลกร้อน
และระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น
โดยนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์เห็นว่า ในทางเศรษฐกิจสิงคโปร์จะต้องเตรียมพร้อมสําหรับอนาคตที่แตกต่างโดยการปรับเปลี่ยนรูปแบบทางการค้าและการย้ายกระแสการลงทุน โดยในอดีตที่ผ่านมา ทําให้มีความมั่นใจว่าสิงคโปร์จะรอดพ้นจากความยากลําบากนี้ไปได้ เนื่องจากจะมีการคิดค้นสิ่งใหม่ๆ และการฟื้นฟูทางเศรษฐกิจ ทรัพยากรบุคคล และบ้านเมือง
สิงคโปร์ยังมีอุตสาหกรรมที่แข็งแกร่ง
สิงคโปร์ยังมีความก้าวหน้าที่ดีและต่อเนื่องในด้านอุตสาหกรรม
ตั้งแต่การให้บริการขั้นสูงของอุตสาหกรรมการบิน
ไปจนถึงการวิจัยทางการแพทย์และบริการด้าน fintech รวมทั้งการพัฒนาท่าเรือและสนามบิน
รีสอร์ทแบบบูรณาการ เทคโนโลยีและกลุ่มธุรกิจ Startup ที่กําลังเฟื่องฟู
โดยมีหน่วยงานภาครัฐ ได้แก่ Enterprise Singapore ให้การสนับสนุนผู้ประกอบการและบริษัทที่จะเติบโตและขยายกิจการไปยังต่างประเทศ
นอกจากนี้สิงคโปร์กําลังพัฒนาทักษะและยกระดับฝีมือแรงงานไปในทางที่ดีขึ้นด้วยความช่วยเหลือของโครงการ
SkillsFuture โดยนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์เน้นย้ำว่า
มาตรการเชิงโครงสร้างเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะจัดการกับความท้าทายในระยะยาวของสิงคโปร์เท่านั้น
แต่ยังช่วยให้สิงคโปร์มองเห็นตัวเองผ่านการชะลอตัวทางเศรษฐกิจด้วย
ทีผ่านมาสิงคโปร์ให้ความสําคัญกับระบบการศึกษา
โดยรัฐบาลจะทําให้การศึกษาระดับอนุบาลและระดับอุดมศึกษามีราคาที่ถูกลง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสําหรับครอบครัวที่มีรายได้ต่ำและรายได้ปานกลาง
และสําหรับผู้สูงอายุชาวสิงคโปร์ที่ต้องการจะทํางานต่อจะมีการพิจารณาเพิ่มอายุเกษียณและการจ้างงานใหม่
โดยรัฐบาล สหภาพแรงงาน และนายจ้างได้บรรลุฉันทามติเกี่ยวกับความจําเป็นในการเพิ่มอายุเกษียณแล้ว
นอกจากนี้สิงคโปร์ยังคงต้องเดินหน้าในการพัฒนาเมืองต่อไป เช่น
สนามบินชางงีและห้างสรรพสินค้า Jewel โดยแนวความคิดการสร้าง
Jewel เกิดขึ้นเมื่อ 9 ปีที่แล้ว
เมื่อสนามบินกําลังเผชิญกับการแข่งขันรุนแรง โดยปัจจุบันนี้ห้างสรรพสินค้า Jewel แสดงให้เห็นว่า
ชาวสิงคโปร์ไม่เพียงแต่มีความคิดสร้างสรรค์และกล้าที่จะคิดค้นสิ่งใหม่ด้วยตัวเอง
แต่ยังมีความปรารถนาและความสามารถในการเปลี่ยนแปลงความฝันให้กลายเป็นจริงได้
โดยสิงคโปร์รู้ดีว่าเมืองและสนามบินอื่น ๆ
กําลังวางแผนที่จะเลียนแบบการสร้างห้างสรรพสินค้าในบริเวณสนามบินเหมือน Jewel และอาจจะยิ่งใหญ่กว่าและดีกว่า
แต่สิงคโปร์ก็ยังกล้าที่จะลองสิ่งใหม่ ๆ
เป็นผู้บุกเบิกและสามารถทําให้สําเร็จได้ก่อน
ห้างสรรพสินค้า Jewel เป็นเพียงหนึ่งในหลาย
ๆ สิ่งที่สิงคโปร์กําลังทําเพื่อพัฒนาตัวเองอย่างไม่มีที่สิ้นสุด นอกจากนี้สิงคโปร์ยังมีโครงการอื่น
ๆ อีก อาทิ การสร้าง Terminal 5
ของสนามบินชางงี การสร้างท่าเรือขนาดใหญ่ Tuas Megaport โครงการ
Jurong Lake District การพัฒนาฐานทัพอากาศ
Paya Lebar และโครงการ Greater
Southern Waterfront
โดยนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ กล่าวทิ้งท้ายว่า “โครงการทั้งหมดเหล่านี้จะทําให้สิงคโปร์ไม่หยุดพัฒนาและจะสร้างโอกาสใหม่
ๆ ให้กับชาวสิงคโปร์อย่างต่อเนื่องไปอีกเป็นเวลานานหลายสิบปี”
อ้างอิง : The Business Times “Singapore’s resilience will see it through latest slowdown: PM Lee”