“สิงค์โปร์” เป็นประเทศขนาดเล็ก
มีพื้นที่ทำการเกษตรเพียง 3% จากพื้นที่ของประเทศ
แต่ก็มีการวางแผนนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อพัฒนาด้านต่างๆ
รวมถึงการทำการเกษตรในเขตเมือง หรือที่เรียกว่า Living Lab ซึ่งเป็นการปรับปรุงสภาพแวดล้อมที่สร้างขึ้นและเป็นธรรมชาติ เพื่อคุณภาพชีวิตของประชาชนสิงคโปร์
แม้ว่าจะมีทรัพยากรจำกัด และเพื่อพัฒนาคุณภาพสินค้าให้ดีขึ้น
การทำการเกษตรแบบ Living Lab เริ่มได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีอายุ 20-30 ปี เนื่องจากการทำการเกษตรลักษณะนี้ไม่เพียงจะตอบโจทย์เรื่องการเป็นแหล่งผลิตอาหารที่ปราศจากสารปราบศัตรูพืชตกค้าง แต่ยังเป็นเป็นงานอดิเรกผ่อนคลายความตึงเครียด
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
อย่างไรก็ตาม จำนวนการทำการเกษตรสมัยใหม่ด้วยวิธีดังกล่าวยังมีเพียง
62 ฟาร์มเท่านั้น
ปริมาณผลผลิตที่ได้ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการบริโภคสินค้าเกษตรของสิงคโปร์
ทำให้ยังมีความจำเป็นที่ต้องนำเข้าผลไม้จากต่างประเทศ
ในช่วง 10 เดือนแรก
(ม.ค.-ต.ค.) 2562 สิงคโปร์มีมูลค่าการนำเข้าสินค้าเกษตรจากทั่วโลก
560,687 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยนำเข้ามากที่สุดจากสหรัฐ มูลค่า
79,090 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วน 14.11% มาเลเซีย 69,418
ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วน 12.38% จีน 57,475 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วน 10.25% ออสเตรเลีย 56,716 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วน 10.12% อินโดนีเซีย 37,099 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วน 6.62% และไทย 26,846 ล้านเหรียญสหรัฐ
สำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศประจำสิงคโปร์
วิเคราะห์ว่าโอกาสการส่งออกไปยังตลาดสิงคโปร์ยังมีอีกมาก
เพราะตลาดนี้มีประชากรที่มีกำลังซื้อสูง นิยมบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพ เช่น ผลไม้ออร์แกนิกโดยจะเลือกสินค้าที่มีคุณภาพเหมาะสมคุ้มค่ากับราคาประเภทผลไม้ที่นิยม
เช่น ทุเรียน ลิ้นจี ลำไย มังคุด และสับปะรด เป็นต้น
และที่สำคัญตลาดนี้ไม่เพียงนำเข้าเพื่อไปบริโภคภายในเท่านั้น
แต่ยังเป็นการนำเข้าเพื่อไปส่งออกต่อ ( Re-Export) ไปยังอินโดนีเซีย
และบรูไน
อย่างไรก็ตาม ตลาดสิงคโปร์ถือเป็นตลาดที่มีการแข่งขันสูงจากแหล่งนำเข้าอื่นๆ ที่มีผลไม้ชนิดเดียวกับไทย ทั้งมาเลเซีย อินโดนีเซีย เมียนมา ดังนั้นไทยมีโอกาสเสียเปรียบในการแข่งขันราคา และระยะเวลาในการขนส่ง ทำให้ต้นทุนราคาผลไม้จากไทยสูงหากเทียบกับประเทศที่อยู่ใกล้เคียง
ดังนั้นกลยุทธ์สำคัญในการเจาะตลาดนี้
จึงต้องมุ่นเน้นการพัฒนาสินค้าใหม่ที่มีนวัตกรรม การแปรรูป เพื่อเพิ่มมูลค่า
และสร้างโอกาสในการส่งออก ด้วยการเข้าร่วมงานแสดงสินค้าที่เน้นเจากลุ่มลูกค้าเฉพาะ
เช่น ไทยแลนด์วีค รวมถึงงานแสดงสินค้าอาหารในสิงคโปร์ เช่น Asia Pacific
Food Expo และสิงคโปร์ Food Expo และควรมุ่งเจาะตลาดค้าปลีก
เพราะเป็นช่องทางที่ผู้บริโภคสิงคโปร์ให้ความนิยมบริโภคมากที่สุด
โดยภาครัฐควรส่งเสริมและสนับสนุนเกษตรกรไทยในด้านต่างๆ
นอกจากด้านเงินทุน ควรให้ความรู้เรื่องการส่งออก ความรู้ด้านเทคนิค การนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการผลิต
การทำการเกษตรแบบครบวงจร
และใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในในการทำการเกษตรแบบสมาทฟาร์มเมอร์ รวมถึงการดูแลลดต้นทุนด้านการขนส่งและโลจิสติกส์
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการส่งออก
