'การนอนหลับ’
เป็นปัจจัยสำคัญในการดูแลสุขภาพที่หลายๆ คนมักจะมองข้ามไป
เพราะในความเป็นจริงมนุษย์เราใช้เวลานอนถึง 1 ใน 3 ของชีวิต และการนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ ไม่ใช่แค่เพียง 8 ชั่วโมงต่อวัน แต่ยังจำเป็นต้องนอนหลับอย่างมีคุณภาพด้วย
สมาคมโรคจากการหลับแห่งประเทศไทย ร่วมกับ บริษัท ฟิลิปส์ (ประเทศไทย) จำกัด และ บริษัท เมดิคอลอินเทนซีฟแคร์ จำกัด เปิดตัวโครงการ “นอนไม่กรน ขับไม่ชน รถไม่คว่ำ” เนื่องใน 'วันนอนหลับโลก 2020’ (World Sleep Day2020) ซึ่งตรงกับวันที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2563 เพื่อรณรงค์ให้ความรู้กับประชาชนเกี่ยวกับความสำคัญของการนอนหลับ ภาวะหยุดหายใจขณะหลับและสัญญาณอันตรายจากการกรน รวมถึงกระตุ้นให้ประชาชนใส่ใจเข้ารับการตรวจวินิจฉัยโรคอย่างเหมาะสม
ไม่พลาดทุกข้อมูล ข่าวสารที่น่าสนใจ อย่าลืมกดไลก์ Facebook bangkokbanksme
ศาสตราจารย์ แพทย์หญิงอรุณวรรณ พฤทธิพันธุ์ นายกสมาคมโรคจากการหลับแห่งประเทศไทย และหัวหน้าศูนย์โรคการนอนหลับ
โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่า ปัจจุบันพฤติกรรมการใช้ชีวิต การทำงาน และสภาพแวดล้อม
ส่งผลให้ผู้คนให้ความสำคัญกับการนอนน้อยลง ซึ่งหากผู้คนนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ
ก็ย่อมเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคต่างๆ ได้มากขึ้น
รวมถึงส่งผลกระทบในการใช้ชีวิตประจำวัน
อาทิ อ่อนเพลีย ไม่มีสมาธิในการทำงาน
และยิ่งในช่วงเทศกาลสงกรานต์ตัวเลขอุบัติเหตุบนท้องถนนในช่วง 7 วันอันตรายในปีพ.ศ. 2562
มีการเกิดอุบัติเหตุกว่า 3,338 ครั้ง
และคาดว่าอาจมีสาเหตุจากการขับรถหลับในได้สูงถึงร้อยละ20
ซึ่งนั่นเป็นผลมาจากการนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอและไม่มีคุณภาพนั่นเอง
ด้านแพทย์หญิงนวรัตน์
อภิรักษ์กิตติกุล อาจารย์แพทย์ประจำภาควิชาโสต ศอ นาสิกวิทยา
โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่า
“ต้องบอกว่าปัจจุบันมีผู้เข้ามาปรึกษาเป็นจำนวนมากเกี่ยวกับอาการนอนกรน
ซึ่งส่วนใหญ่มาด้วยความคิดว่าเป็นสิ่งที่รบกวนคนที่นอนด้วย มากกว่าคิดว่าเป็นโรค แต่ในความเป็นจริงอาการกรนนั้นเป็นสัญญาณเตือนของภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
จากการอุดกั้น (Obstructive Sleep Apnea: OSA) โดยสาเหตุของการกรนเกิดได้จากระบบทางเดินหายใจส่วนบนอุดตัน ต่อมทอมซิลโต
โคนลิ้นใหญ่ เยื่อหูและจมูกบวม ลิ้นไก่ยาว ช่องคอหย่อน
หรือผู้ที่มีน้ำหนักตัวมากและอายุที่เพิ่มขึ้น
ซึ่งหากปล่อยไว้โดยไม่เข้ารับการรักษาก็จะทำให้เกิดการหยุดหายใจขณะหลับได้ และส่งผลให้ภาวะออกซิเจนในเลือดต่ำลง และเกิดภาวะแทรกซ้อนที่ทำให้คุณภาพการนอนลดลง เกิดเป็นผลเสียต่อร่างกายเพิ่มขึ้นระยะยาว ทั้งโรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน ภาวะสมองเสื่อม อาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ สมาธิสั้น หัวใจวาย หัวใจเต้นผิดจังหวะ รวมถึงความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ เนื่องจากหลับใน โดยเฉลี่ยแล้วอาการกรนจะเกิดในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง เพราะในผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์จะมีฮอร์โมนที่ช่วยกระตุ้นการหายใจมากกว่าผู้ชาย
การรักษาภาวะหยุดหายใจขณะหลับ
นายแพทย์สมประสงค์ เหลี่ยมสมบัติ อาจารย์แพทย์ประจำภาควิชาอายุรศาสตร์ โรงพยาบาล รามาธิบดี
กล่าวเสริมว่า “จากการศึกษาที่มีในประเทศไทย พบว่าในประชากรผู้ใหญ่วัยทำงาน
พบความชุกผู้ป่วยภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น เพศชายอยู่ที่ 15.4% และผู้หญิง 6.3%
ในขณะที่ประเทศอเมริกา พบประชากรผู้ใหญ่ที่อายุ 40 ปีขึ้นไป”
มีผู้ป่วยภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้นสูงถึง
1 ใน 3 คน
โดยยิ่งอายุมากขึ้นหรือมีปัจจัยเสี่ยง เช่น โรคอ้วน สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์
ทานยานอนหลับบางชนิด รวมถึงฝุ่น PM 2.5
ที่กำลังเป็นปัญหาสำคัญในประเทศไทย ยังเป็นตัวกระตุ้นให้อัตราการเกิดภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้นเพิ่มสูงขึ้นด้วย
เนื่องจากเมื่อระบบทางเดินหายใจส่วนต้น
เช่น เยื่อบุจมูกเกิดการระคายเคือง มีการบวมคัด
จะส่งผลให้เกิดทางเดินหายใจอุดกั้นขณะหลับง่ายขึ้น นอกจากนี้ ฝุ่น PM 2.5
อาจทำให้ระบบหายใจส่วนล่างและถุงลมปอดเกิดความระคายเคือง เกิดอาการไอ หลอดลมอักเสบ
โรคหืดกำเริบ ได้อีกด้วย ซึ่งอาจส่งผลให้คุณภาพการนอนหลับลดลง
ในแง่ของการรักษาภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้นนั้น
นอกจากการลดพฤติกรรมเสี่ยงแล้ว แพทย์อาจจะให้การรักษาโดยการใช้เครื่องอัดอากาศแรงดันบวกชนิดต่อเนื่อง (Continuous Positive Airway Pressure: CPAP), การใส่ทันตอุปกรณ์ (oral appliance) หรือการผ่าตัดในการรักษา ทั้งนี้ขึ้นกับลักษณะอาการและความรุนแรงของโรคของผู้ป่วยแต่ละบุคคล
สำหรับการเช็คอาการเบื้องต้นของภาวะหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น ให้สังเกตว่าตนเองมีการสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกพร้อมกับอาการหายใจเฮือกหรือไม่ หรือยังมีอาการง่วงอยู่ในช่วงกลางวันแม้จะนอนหลับอย่างเพียงพอ แต่สำหรับผู้ที่ยังไม่มั่นใจว่าตัวเองมีความเสี่ยงหรือไม่ สามารถทดสอบด้วยตัวเองได้ที่ https://www.cpapmic.com/sleeptest/